บทที่494 สนามรักเปรียบเหมือนสนามรบ
โซฟานุ่มแต่ก็มีความแข็ง นอนแล้วสบายมาก
เย้นหว่านยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว โห้หลีเฉินเลือกโซฟาเป็นด้วย โซฟานี้ให้เขานอน เขาก็ไม่ต้องอยู่กับความไม่ค่อยสบายตัว
ก็ดี
เย้นหว่านคิดอย่างวางใจ กำลังจะลุกขึ้นนั่ง ในตอนนี้เอง กลับรู้สึกได้ถึงการขยับเล็กน้อย ราวกับมีก้อนนูนบางอย่างมากระพุ้งหลังของเธอ
โซฟานี้มีระบบนวดด้วย?
เย้นหว่านประหลาดใจ นอนลงอีกครั้ง อยากที่จะลองเสียหน่อย
ถัดจากนั้น โซฟาอยู่ที่ตำแหน่งหลังของเธอ กระเป๋าใบเล็กอีกใบก็พองขึ้น ข้างในราวกับมีค้อนอากาศ ทุบเอวของเธอเบาๆสองสามครั้ง
สบายมาก
ค้อนทุบไปหลายครั้ง ค้อนอากาศเล็กๆนั้นก็พองเปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นรูปทรงเว้านูน เหมือนกับฝ่ามือคน พอดีกับบริเวณเอวของเย้นหว่านโดยสมบูรณ์
หลังจากนั้น ก้อนนูนก็ลูบเอวของเธอไม่หนักไม่เบา การเคลื่อนไหวเป็นคลื่นเบาๆ แตกต่างกับการนวด มีความคล้ายคลึงกับการยั่วยวนของคนรัก
ตำแหน่งของก้อนนูนยังไม่คงที่ เคลื่อนลงตามแนวเอวไปทีละน้อย ไปจนถึงตำแหน่งก้นของเย้นหว่าน จู่ๆก็บีบอย่างดุเดือด
ความรู้สึกอับอายแปลกๆกระจายไปทั่วร่างของเย้นหว่านทันที
นี่มันเป็นการนวดซะที่ไหน เห็นชัดๆว่าเป็น เป็น……
เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เย้นหว่านก็เห็นโห้หลีเฉินที่อยู่ตรงประตูมองเธอยิ้มๆ
สายตาขี้เล่นนั่น เห็นได้ชัดว่ารู้ถึงลูกเล่นของโซฟานี้มาแต่แรกแล้ว แล้วยังเห็นปฏิกิริยาที่น่าอับอายของเธออย่างชัดเจน
เย้นหว่านแทบทนไม่ไหวที่จะฆ่าเจ้าสมองเต้าหู้ให้ตาย
เธอรีบกระโดดลงมาจากบนตียง พูดด้วยความโกรธและอาย “นาย ทำไมนายถึงซื้อโซฟาแบบนี้?!”
ในโลกยังมีโซฟาที่น่าอับอายแบบนี้อยู่ด้วย นี่มันเป็นของที่ใช้นั่งซะที่ไหน ที่จริงเป็นอุปกรณ์ทำเรื่องอย่างว่าของคู่รัก
ในที่สุดตอนนี้เย้นหว่านก็รู้ ว่าทำไมพอเย้นโม่หลินรู้ว่าเธอชอบโซฟานี้แล้ว สายตาที่มองเธอถึงได้แปลกๆไป มิน่าเสี่ยวฮวนถึงพูดแล้วหยุด ใบหน้ามีเลศนัย
รู้สึกว่า ทุกคนต่างคิดว่าเธอชอบโซฟาตัวนี้
ชื่อเสียงของเธอ ถูกโห้หลีเฉินทำลายลงหมดแล้ว
โห้หลีเฉินยิ้มมุมปาก เดินเข้ามาด้วยท่าทางผ่าเผย
เข้ายื่นมือไปจับไหล่ของเย้นหว่าน มองไปที่เธอ พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำมีเลศนัย
“แบบนี้ถึงเป็นธรรมชาติ ถ้ายังไง คืนนี้พวกเรามาลองดู?”
เย้นหว่านตัวแข็งทื่อ
เธอก้มหน้ามองด้วยความตะลึง ก็เห็นว่ากลไกของโซฟานั้นได้ถูกทำงานแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนจากนวดเป็นคลื่น กลิ้งขึ้นลงเป็นชั้นๆ ราวกับคลื่นทะเล
จินตนาการได้ว่า ถ้าคนสองคนนอนข้างบน ระดับความตื่นเต้นนั้น……
“ฉันกลับไปนอนแล้ว ฝันดี!”
ปลีกตัวออกมาจากอ้อมแขนของโห้หลีเฉินทันที เย้นหว่านวิ่งออกไปด้านนอกโดยไม่หันหัวกลับมา
น่าอับอายมากจริงๆ
โห้หลีเฉินก็ใจดำเกินไปแล้ว เพื่อไม่ให้พี่ชายเธอสงสัย ก็จงใจซื้อโซฟานี้มา ต่อหน้าคือเพื่อใช้กับเธอ เพิ่มความน่าสนใจ และไม่ทำให้คนคิดว่า อันที่จริงเขาเพียงแค่เอามานอน
เพียงแต่ชื่อเสียงนี้ของเธอ……
เย้นหว่านปิดหน้า กลับถึงห้องก็ปิดประตูลงอย่างรีบร้อน
ไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว
——
เย้นโม่หลินออกมาจากลานของเย้นหว่าน ยืนอยู่หน้าประตู อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ กังวล
เขาคิดไม่ถึงว่า เย้นหว่านที่ดูว่านอนสอนง่ายและเรียบร้อย จะมีงานอดิเรกแบบนี้
หรือว่า ซื้อโซฟาแบบนี้มาเป็นพิเศษเอาไว้ที่ห้องกู้ซึง เพื่อล่อลวงเขา?
นี่มันไม่ออกตัวไปหน่อยหรอ?
เย้นโม่หลินอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว โลกของวัยรุ่น เขาไม่มีทางเข้าใจได้เลยจริงๆ
โดนเฉพาะ หลายวันก่อนเย้นหว่านกับกู้ซึงยังเว้นระยะกัน ดูห่างเหินกันมาก แต่พริบตาเดียว ความพยายยามยังไม่ถึงครึ่งวัน ก็สนิทสนมเหมือนเป็นคนเดียวกัน
แม้ว่า เกือบจะรบกันในตอนกลางวัน ตอนกลางคืนก็ซื้อโซฟาที่น่าสนุกสนาน……
พรุ่งนี้จะให้เขาเป็นคุณลุงเลยหรือเปล่า?
เย้นโม่หลินว้าวุ่นเล็กน้อย
เขาขมวดคิ้ว ลังเลนิดหน่อย หันตัวเดินไปที่ลานของป่ายฉีอย่างรวดเร็ว
ป่ายฉีแปลกใจ กลางดึกแล้ว เย้นโม่หลินมาหาเขาทำไม?
มองใบหน้าที่ดำมืด คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
เขารินน้ำแก้วหนึ่งวางไว้ตรงหน้าเย้นโม่หลิน พูดขึ้น “ดื่มน้ำเย็นสักแก้ว ดับไฟ”
เย้นโม่หลินเหลือบมองเขา พูดด่า “ไป เอาไวน์มา”
หนุ่มใหญ่คนหนึ่ง ดื่มน้ำเปล่าอะไร นี่ไม่ใช่การชะล้างเขา
ป่ายฉียิ้มเยาะ “เฮ้ มันเรื่องอะไรกัน ถึงคุ้มค่าที่คุณชายใหญ่เย้นจะล้างทุกข์ด้วยไวน์?”
ระหว่างที่พูด เขาเปลี่ยนเป็นราวกับเล่นกล หยิบไวน์แดงออกมาจากด้านหลัง แก้วสองใบ
น้ำเปล่าแก้วนั้น ที่แท้เอามาชะล้างเขา
เย้นโม่หลินจ้องเขาเขม็ง เอื้อมมือไปหยิบขวดไวน์ รินจนเต็มแก้ว
จากนั้นกระดกหมดในคราวเดียว
แล้วถึงวางแก้วลง ขมวดคิ้ว ใบหน้าขมขื่นมาก
“เสี่ยวหว่านเธอ เฮ้อ……”
ป่ายฉีรินไวน์ให้ตัวเอง จิบไปหนึ่งอึก แล้วถึงพูดขึ้นอย่างเนิบๆ
“เสี่ยวหว่านทำไมหรอ?”
สีหน้าของเย้นโม่หลินมีความซับซ้อน ลังเลอยู่พักใหญ่ ถึงมองไปที่ป่ายฉี ใบหน้าจริงจัง
“เธอโตเป็นสาวแล้ว ความสัมพันธ์ของเธอกับกู้ซึงยังไม่ได้กำหนดอย่างเป็นทางการ แต่พวกเขาก็จะ……”
ริมฝีปากของเขาขยับ พูดคำพูดต่อไปไม่ออก “แม้ว่าฉันจะไม่ได้คัดค้านเรื่องแบบนี้มาก ตอนนี้สังคมเปิดกว้างแล้ว แต่กู้ซึงนั่นก็ไม่รู้ว่ามีดีตรงไหน ทำให้เสี่ยวหว่านออกตัวขนาดนั้น”
“กู้ซึงก็ไม่ใช่รากฐานไม่ดี ปฏิบัติตัวดีกับเย้นหว่าน นายไม่ใช่กำลังอยู่ในช่วงพิจารณา อีกไม่นานก็วางแผนจะสนับสนุนให้เขากับเสี่ยวหว่านอยู่ด้วยกันหรอ? ทำไม ตอนนี้เปลี่ยนความตั้งใจแล้ว ไม่อยากให้เขาเป็นน้องเขยนาย?”
เย้นโม่หลินส่ายหน้า “ฉันแค่รู้สึกว่ามันผิดปกติมาก แต่ก็พูดไม่ถูกว่ามันเรื่องอะไร”
“ตัวอย่างเช่น?”
“ช่วงก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ของเสี่ยวหว่านกับกู้ซึงเว้นระยะกัน ดูห่างเหิน แต่ว่าหลังจากเสี่ยวหว่านกับกู้ซึงเข้าไปในป่าแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นดีกะทันหัน ติดหนึบเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน เสี่ยวหว่านดูง่ายอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่แววตาก็แทบทนไม่ไหวที่จะติดอยู่กับตัวของกู้ซึง”
เย้นโม่หลินขมวดคิ้ว แววตาคมกริบ “ท่าทีก่อนหน้ากับตอนหลังของเสี่ยวหว่านต่างกันมาก แม้ว่ากู้ซึงจะบอกว่าหลายวันก่อนพวกเขาขัดแย้งกันอยู่ แต่ดีกันแล้วก็เปลี่ยนเป็นดีขนาดนี้? ท่าทีนี้ พูดได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว การปฏิบัติต่อทั้งสองมันต่างกันมาก”
ป่ายฉีได้ฟัง มุมปากก็แอบยกขึ้น
เขามองไปที่เย้นโม่หลินยิ้มๆ “ดังนั้นล่ะ นายกำลังสงสัยอะไร?”
“ต่อหน้า เสี่ยวหว่านกับกู้ซึงต่างดูไม่มีพิรุธอะไร แต่ด้วยประสบการณ์หลายปีของฉัน ดูแล้วพวกเขาสองคน คงมีปัญหาอยู่” เย้นโม่หลินสีหน้าเคร่งขรึม
เรื่องที่เกี่ยวกับเย้นหว่าน เขาไม่อาจไม่ตั้งใจคิดให้ถี่ถ้วนได้
ป่ายฉีกลับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา น้ำเสียงเยาะเย้ย “คุณชายใหญ่เย้น นายใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยมีความรักแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ใจสั่นยังไม่เคย นายไม่มีประสบการณ์ด้านความรัก ใช้ประสบการณ์ฆ่าศัตรูของนายมาวิเคราะห์ชีวิตรักของคนอื่นหรอ?”
เย้นโม่หลินสำลัก
เขาพูดอย่างเย็นเยือก “สนามรักกับสนามรบ มีหลักเหตุผลคล้ายๆกัน”
“คุณชายใหญ่ของฉัน หลักเหตุผลนี้ห่างกันไกลเลย”
ป่ายฉียิ้มเยาะ สายตาเต็มไปด้วยการล้อเลียน แล้วยังการละเมิดโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย