บทที่526 เก่งจริงก็ต่อยกูให้ตายสิ
ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำบ้าอะไรอีก
เย้นหว่านรู้สึกไม่สบายใจด้วยจิตใต้สำนึก แต่กลับไม่ได้สนใจหยูซือห้าน ฉีกเทปกาวที่ปิดปากกู้ซึงออก
เพิ่งจะฉีกออก กู้ซึงก็ร้องครวญครางออกมา
“กูเจ็บจะตายแล้ว!”
“หยูซือห้าน แกจะลงไม้ลงมือก็ให้มันเบาหน่อยไม่ได้หรือไง คนที่จะแย่งเมียแกก็ไม่ใช่ฉัน แกมารังแกฉันยังจะถือว่าเป็นลูกผู้ชายอีกเหรอ!”
อ้าปาก เตรียมจะด่าต่ออีกเป็นชุด
บาดแผลที่อยู่ทั่วตัวเขา น่าเวทนาอย่างยิ่ง
ขมับหยูซือหานกระตุกอย่างแรงครู่หนึ่ง
หันหน้า สายตาเย็นเยือกมองไปยังกู้ซึง
“ยังมีแรงด่าฉัน ดูท่า ฉันจะต่อยเบาไปหน่อย”
“เก่งจริงก็ต่อยกูให้ตายเลยสิ”
กู้ซึงด่าอย่างโกรธแค้นเต็มที่ ถ้าไม่ใช่ว่ายังถูกผูกเชือกอยู่ ก็ต้องปรี่ไปกัดหยูซือห้านสักสองที
ชีวิตนี้เขายังไม่เคยถูกใครเฆี่ยนตีแบบนี้ หยูซือห้านเป็นคนแรก
หยูซือห้านหัวเราะเยาะน่ากลัวเหมือนกับปิศาจ
“ฉันเหมือนคนที่ใจดีมีเมตตาขนาดนั้นเหรอ แกอยากตาย ฉันก็จะให้แกมีชีวิตอยู่ ต่อยแกทุกวัน ให้แกตายก็ไม่ได้ อยู่อย่างทรมาน”
ร่างของกู้ซึงที่ยืดตัวแข็งเกร็ง สั่นเทาเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้
สีหน้าเขาขาวซีด มองหยูซือห้านอย่างเกลียดชัง
ตอนนี้เขายังเจ็บปวดเจียนตายไปทั่วร่าง เขายังกล้าบอกว่าจะต่อยเขาทุกวัน ข่มขู่จนรู้สึกว่าบาดแผลบนร่างของเขานั้นเจ็บปวดมากขึ้นอีก
เย้นหว่านกำลังแก้มัดให้กู้ซึง ได้ยินประโยคนี้ ไฟโกรธที่ในอกก็ลุกโชนขึ้นมาอีก
เธอโน้มตัวไปข้างหน้า รีบมาขวางไว้ด้านหน้าของกู้ซึง
พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “หยูซือห้าน คุณอย่าข่มขู่คนอื่นนักเลย ถ้าคุณกล้าต่อยตีกู้ซึงอีก ฉันจะไม่ให้ความร่วมมือกับคุณอีกไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น”
หยูซือห้านยังต้องการเธอ นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเย้นหว่านในตอนนี้
หยูซือห้านยิ้ม สายตาที่มองเย้นหว่านเย่อหยิ่งอย่างยิ่ง
“ตอนนี้พวกคุณล้วนตกอยู่ในมือผม ผมจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด เย้นหว่าน ตอนนี้คุณได้แต่เชื่อฟังผม ไม่มีสิทธิ์เสนอเงื่อนไขอะไรใดๆกับผม”
“ใช่เหรอ”
เย้นหว่านย้อนถาม สีหน้าท่าทางที่แน่วแน่กลับน่าสงสัยอย่างมาก
แม้ว่าเธอจะไม่มั่นใจว่าหยูซือห้านจับตัวเธอและกู้ซึงต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่เธอแน่ใจว่า เขามีแผนการ และขาดเธอไม่ได้เด็ดขาด
หยูซือห้านดวงตาหรี่ลง
กู้ซึงส่งเสียงหัวเราะเยาะดูถูก พูดว่า
“แน่นอนว่าเขาขาดพวกเราไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าผมเดาไม่ผิด ตอนนี้แม้จะออกจากบ้านตระกูลเย็นแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าให้เย้นโม่หลินรู้ว่าพวกเราถูกจับตัวมา
ได้แต่ใช้วิธียื้อเวลาเย้นโม่หลิน ก็ได้แต่โกหก แสร้งทำเป็นว่าคุณและผม โกหกเย้นโม่หลิน ว่าพวกเราสองคนรักกัน ออกไปเที่ยวเป็นการส่วนตัวแล้ว”
มุมปากหยูซือห้านยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแฝงความชั่วร้าย สายตาที่มองกู้ซึง ก็เหมือนกับผีร้ายที่มองคนอยู่
เขาพูดข่มขู่ “แม้ว่าแกจะไม่ใช่โห้หลีเฉิน แต่ก็ถือว่าไม่ได้โง่นัก”
แม่จะเป็นคำชม แต่กลับมีความดูถูกเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
บนโลกใบนี้ นอกจากโห้หลีเฉินแล้ว คนอื่นก็ไม่เคยอยู่ในสายตา ยิ่งไม่เห็นเป็นคู่ต่อสู้
มีชีวิตอยู่ยี่สิบกว่าปีแล้ว คนเดียวที่ทำให้เขายอมศิโรราบ ก็มีเพียงโห้หลีเฉิน
ชีวิตนี้ พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกัน ไม่ใช่มันตาย ก็คือฉันตาย
ถูกดูถูกเหยียดหยามอย่างเปิดเผย สีหน้าของกู้ซึงก็ย่ำแย่ขึ้นมาอีก สายตาที่มองหยูซือห้าน อยากจะบีบคอเขาให้ตายด้วยความโมโห
หยูซือห้านให้เขาเสียเปรียบขนาดนี้ เท่ากับเป็นความอัปยศ มลทินของชีวิตนี้
เย้นหว่านขมวดคิ้ว พูดด้วยเสียงขรึม
“พี่ชายฉันเป็นคนรอบคอบ ไม่ว่าคุณจะหาเหตุผลที่ดีแค่ไหน เขาก็ไม่เชื่อง่ายๆ ฉันไม่มีทางไปเที่ยวกับกู้ซึงตามลำพังโดยไม่บอกไม่กล่าว”
หยูซือห้านยิ้มอย่างไม่แยแสเลยสักนิด “เขาต้องเชื่อ”
น้ำเสียงมั่นใจ
มั่นใจจนในใจเย้นหว่านเกิดความกลัว
หยูซือห้านคิดจะทำอะไรกันแน่
ละเอียดรอบคอบแบบนี้ แทบจะอุดช่องโหว่เอาไว้ทั้งหมด อาจจะรวมถึงปัจจัยที่ทำให้ล้มเหลวก็ล้วนคิดไว้หมดแล้ว ทุกอย่างก็คือวางแผนไว้ละเอียดรอบคอบเป็นอย่างดี
ทำให้เธอไร้หนทางเลือก ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้
กู้ซึงยังมีเชือกพันธนาการอยู่ เขาได้แต่ค่อยๆโน้มร่างไปข้างหน้า ใช่ไหล่ชนที่แผ่นหลังของเย้นหว่านเป็นการปลอบโยน
เขาเอ่ยปลอบอย่างช้าๆและแผ่วเบา
“อย่ากังวล หยูซือห้านขาดพวกเราไม่ได้ ไม่กล้าทำอะไรพวกเราหรอก พวกเราไม่มีทางเป็นอะไร
เย้นโม่หลินก็เป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง พิรุธแค่เพียงเล็กน้อยเขาก็ต้องมองออก พรุ่งนี้เขาต้องมาช่วยพวกเราแน่”
จิตใจเย้นหว่านยังไม่ทันถูกปลอบให้สงบได้หนึ่งสองนาที ก็ได้ยินคำเยาะหยันของหยูซือห้านอีกว่า
“พวกคุณก็หวังลมๆแล้วรอไปเถอะ พรุ่งนี้ ผมก็จะสอนให้พวกคุณรู้จักว่าอะไรเรียกว่าสิ้นหวัง”
คำมั่นสัญญาที่จริงใจ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา
เย้นหว่านเพิ่งจะเกิดความหวังเล็กๆในใจ ก็ถูกสาดด้วยน้ำเย็น หนาวเยือกตั้งแต่หัวถึงปลายเท้า
ความคิดในใจหยูซือห้านน่ากลัว
กู้ซึงขมวดคิ้ว พูดต่อว่า
“อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล ตอนนี้เขาทำทุกอย่างเพื่อรักษาหน้าเอาไว้ อยากจะทำลายความอดทนของคุณ จะได้ลงไม้ลงมือกับคุณได้ง่าย
คุณต้องเชื่อใจเย้นโม่หลิน เขาต้องมาช่วยคุณ ไม่ต้องกลัว”
เสียงกู้ซึงเต็มไปด้วยความหนักแน่น
เย้นหว่านไม่ค่อยเคยเห็นเขามีท่าทีจริงจังแบบนี้มาก่อน ถ้าเป็นปกติ ก็เชื่อแล้ว แต่ตอนนี้เวลานี้ ในใจกลับยังหาที่พึ่งพิงไม่ได้ ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
เธอไม่รู้ว่าหยูซือห้านเตรียมการอะไรไว้กันแน่ เธอไม่รู้ว่าคำพูดพวกนี้ของกู้ซึงพูดเพื่อจะปลอบใจเธอหรือไม่ เธอไม่รู้ว่าเธอจะได้รับการช่วยเหลือหรือไม่
หากเป็นไปไม่ได้ ผลลัพธ์ ก็ต้องถูกบีบให้แต่งงานกับหยูซือห้าน กลายเป็นภรรยาของเขา……
ผลลัพธ์แบบนั้นแค่เธอคิด ก็รู้สึกมืดมนไร้ความหวัง
นิ่งเงียบอยู่สักพัก เย้นหว่านเม้มริมฝีปาก พยักหน้าอย่างจริงจัง
“อืม ฉันเชื่อว่าพี่ชายฉันต้องมาช่วยพวกเราแน่”
เธอหันหน้าไปมองกู้ซึง สีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
ไม่ว่าตนเองจะเชื่อหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เธอต้องให้กำลังใจกู้ซึง ให้กู้ซึงมีหวังที่จะมีชีวิตต่อ
“ฉันจะแก้มัดให้คุณ”
เย้นหว่านไม่ได้สนใจหยูซือห้านที่นั่งจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออยู่บนเบาะข้างคนขับ มองข้ามเขาไปเลย
เธอก้มหน้า ตั้งใจแก้เชือกที่มัดกู้ซึงเอาไว้แน่น
เธอแรงน้อย เชือกมัดอย่างแน่นหนา ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลจึงจะแกะได้ ไม่ทันระวังก็ทำเล็กของเธอหลุด แย่แล้วเลือดออก
เจ็บนิดหน่อย
แต่เมื่อเทียบกับบาดแผลบนตัวกู้ซึง ความเจ็บปวดเล็กน้อยของเธอ ก็เทียบอะไรไม่ได้เลย
ตอนแรกกู้ซึงเป็นคุณชายผู้มีอิสระไม่มีข้อผูกมัดใดๆทั้งสิ้นแห่งเมืองหนาน มีชีวิตที่สุขสบายร่ำรวย หากไม่ใช่เพราะเธอ ก็ไม่ต้องเข้ามาตกอยู่ในอันตรายแบบนี้
บาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก
เธอติดหนี้บุญคุณกู้ซึง เย้นหว่านแอบตัดสินใจในใจ ครั้งนี้ไม่ว่าเธอจะรอดพ้นจากอันตราย ได้รับการช่วยเหลือหรือไม่ก็ตาม จะแลกด้วยอะไรเธอก็จะทำให้กู้ซึงหนีไปได้อย่างปลอดภัย
กู้ซึงมองไม่เห็นการกระทำของเย้นหว่าน แต่เห็นเธอแก้มัดช้าขนาดนั้น ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
มือเล็กๆของเธอบอบบางขนาดนั้น……
เขาพูดเสียงขรึมว่า “แก้ไม่ออกก็ไม่ต้องแก้แล้ว ในเมื่ออีกเดี๋ยวหยูซือห้านก็ยังต้องมัดผมอยู่ดี”