บทที่ 621 ชีวิตนี้ก็เพียงพอ
บอดี้การ์ดสองคนที่แบกเปลนั้นก็ไม่อ่อนโยนเลย เดินไปก็โยกไปมา กระแทกขึ้นๆลงๆ ถูกบาดแผลของหยูซือห้านอย่างไม่ปรานี
หยูซือห้านถูกความเจ็บปวดปลุกให้ตื่นขึ้นมา
เขาเจ็บจนขมวดคิ้ว ความเจ็บยังไม่ทันทุเลาลง ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เขาแทบจะจำได้ตั้งแต่วินาทีแรก คือหยูฉู่สอง
ผู้นำตระกูลหยู!
เขาทั้งตกใจทั้งดีใจ หันหน้าไปมองอย่างยากลำบาก ก็มองเห็นหยูฉู่สองและเหล่าบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหยู
ที่นี่ คือเมืองเฟยของตระกูลหยู
ตระกูลหยู เป็นถิ่นของเขานะ! ที่นี่ ล้วนเป็นคนของเขาทั้งหมด!
หยูซือห้านกระหยิ่มยิ้มย่อง ทำไมถึงคิดไม่ถึง โห้หลีเฉินยังกล้าที่จะพาเขากลับมาบ้านตระกูลหยู
ในใจที่สิ้นหวัง ก็กลับมีความหวังขึ้นมาทันที
หยูซือห้านไม่สนใจบาดแผลที่เจ็บปวดทั่วทั้งตัว เขาใช้มือเดียวพยุงตัวขึ้นจากเปลอย่างยากลำบาก ค่อยๆลุกขึ้นทีละนิด
จากนั้นเสียงที่แหบพร่า ตะโกนจนจะขาดใจ
“ท่านผู้นำ คือผมเอง! คือผม ผมคือหยูซือห้านไง!”
เสียงเขาแหบพร่าจนแทบไม่น่าเชื่อ เปลี่ยนไปเกือบครึ่ง แต่ในเนื้อเสียง ก็ยังมีเสียงเดิมของหยูซือห้านอยู่
หยูฉู่สองตอนแรกก็สงสัยว่าคนที่อยู่ในเปลคือใคร ตอนนี้แน่ใจในตัวตนของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
แต่มั่นใจแล้ว เขากลับไม่กล้าเชื่อเลย
คนตระกูลหยูที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนตกใจอ้าปากค้าง มองผู้ชายที่อยู่ในเปลอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
นั่นยังเป็นคนที่สมบูรณ์อยู่หรือไม่
ถูกไฟไหม้มีบาดแผลทั่วทั้งตัว แทบจะมองไม่เห็นผิวหนังที่ดีอยู่เลย แต่ที่มองเห็นด้วยตา แขนขาที่อยู่ใต้เสื้อผ้านั้น อย่างน้อยก็มีแขนขาหายไปข้างหนึ่ง
บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ยังมีชีวิตอยู่ ถือว่ามหัศจรรย์มาก
หยูซือห้านกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
คนที่เคยสง่างาม มีอนาคตกว้างไกล ไฟไหม้บาดเจ็บสาหัสในตอนนี้ พิการไปทั้งร่าง ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์แล้วหรือ
ภายในใจของคนตระกูลหยู เหมือนถูกโยนระเบิดมือใส่หนึ่งลูก ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
แต่ละคนอึ้งตะลึง ตั้งสติกลับมาไม่ได้เลย
หยูซือห้านมองสายตาที่ตกตะลึงแล้วตกตะลึงอีกของทุกคน ในใจก็เย็นวาบ รีบดิ้นรนร้องตะโกนว่า
“ท่านผู้นำ อวัยวะภายในผมยังดีอยู่ ผมยังสามารถช่วยให้รอดได้ คุณช่วยผมด้วย ต้องช่วยผมให้ได้นะ! คือโห้หลีเฉิน คือโห้หลีเฉินทำกับผมแบบนี้โห้หลีเฉินจงใจทำร้ายเจตนาฆ่าทายาทของตระกูลหยู!”
ยังช่วยได้เหรอ ประโยคนี้จุดประกายความหวังในใจ ของบรรดาคนตระกูลหยูขึ้นมา
ท่านอาวุโสผมสีเงินรีบเดินออกมา สาวเท้ายาวๆเดินไปทางหยูซือห้าน
“สารเลว !โห้หลีเฉินจะกล้าทำร้ายแกจนกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร!”
ท่านอาวุโสผมสีเงินสบถด่าพลาง เดินไปข้างๆของหยูซือห้านพลาง แต่ตอนที่มีระยะห่างกันสองก้าวนั้น กลับถูกเว่ยชีขวางเอาไว้
ท่านอาวุโสผมสีเงินสีหน้าบึ้งทันที ตะคอกอย่างดุร้ายว่า “ไสหัวไป!”
เว่ยชียืนยืดตัวตรง สีหน้าเย็นชา
ก็คือไม่ยอมหลบ
ท่านอาวุโสผมสีเงินสีหน้ายิ่งดูไม่ได้หนักขึ้น “ยังมีกฎระเบียบอยู่อีกมั้ย คนรับใช้อย่างแกมีสิทธิ์อะไรกล้ามาขวางฉันห๊ะ”
เว่ยชีไม่ขยับเขยื้อน พูดด้วยเสียงแข็งกร้าวว่า
“เขาเป็นนักโทษ คุณไม่สามารถไปได้”
“เขาเป็นทายาทที่ถูกกำหนดไว้ของตระกูลหยู เป็นเจ้านายของแก!”
ท่านอาวุโสผมสีเงินตะคอกอย่างโมโห
จากนั้น กวักมือพลางพูดว่า “ไม่มีขื่อมีแปแล้ว! มานี่ ลากเขาออกไปให้ฉัน ตีให้ตาย!”
สิ้นเสียง บอดี้การ์ดที่อยู่โดยรอบก็รีบเข้ามาหลายคน ล้อมเว่ยชีเข้ามา
“แหม ตระกูลหยูของพวกคุณนี่ช่างยโสโอหัง มาตระกูลเย้นของผมลักพาตัวคนไปยังไม่ได้ทันอธิบาย ตอนนี้ก็คิดจะมาแย่งคนอีกแล้วเหรอ”
เย้นโม่หลินที่ไม่พูดไม่จามาตลอด จู่ๆก็เดินมาข้างหน้าสองก้าว
ตำแหน่งไม่เอียงไม่เอน อยู่ข้างเปลของหยูซือห้านพอดี
มุมปากของเขายกขึ้นทำมุมเป็นรอยยิ้มที่เยือกเย็น สายตาที่อันตรายดุร้าย แสดงความเป็นศัตรู “พวกคุณเห็นว่าตระกูลเย้นของผม รังแกกันได้ง่ายๆเหรอ”
คำพูดที่คมกริบ เสมือนภูเขาสูงใหญ่ที่ประจันหน้ามา
สีหน้าของท่านอาวุโสผมสีเงินเปลี่ยนไป ร่างเกร็งอย่างไม่อาจควบคุมได้
เย้นโม่หลินออกโรง เรื่องนี้ เกรงว่าก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว
สีหน้าของเขาดูแย่อย่างยิ่ง แต่กลับพยายามอย่างหนักที่จะฉีกยิ้มบนใบหน้าสูงวัยที่มีริ้วรอยตีนกา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“คุณชายเย้น นี่พูดล้อเล่นหรือ ตระกูลหยูเห็นความสัมพันธ์กับตระกูลเย้นมาเป็นอันดับแรก เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
หยูซือห้านคือคุณชายตระกูลหยูของพวกเรา เป็นทายาทที่กำหนดไว้แล้ว ไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ของสองตระกูลแน่นอน หนึ่งในนี้ มีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่ ”
คำพูดดูดีสละสลวย ยังคงเป็นการแก้ตัวให้กับหยูซือห้าน
เย้นหว่านมองรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านอาวุโสผมสีเงินที่ท่าทางเหมือนกับจะบีบแมลงวันให้ตาย ภายในใจมีความขยะแขยง หนาวสั่นมาเป็นระลอก
ตอนนี้หยูซือห้านกลายเป็นแบบนี้แล้ว หน้าตาเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม บาดเจ็บสาหัสจนแทบจะเป็นเศษมนุษย์แล้ว แต่พวกเขาก็ยังอยากจะปกป้องหยูซือห้าน
ยังคิดจะแต่งตั้งให้เขาเป็นทายาทอีกหรือ
แต่กับโห้หลีเฉินที่ตกเป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ ถูกคิดบัญชี พวกเขายังเย็นชาไม่เห็นความดีของเขา คิดแต่จะกำจัดเขา
ทำให้เขากลายเป็นคนพิการ ไร้ประโยชน์
เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลหยูเช่นเดียวกัน แต่ทัศนคติที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวนี้ ทำให้คนเรารู้สึกโกรธอย่างน่าใจหาย
ราวกับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินกุมมือของเย้นหว่านเอาไว้ บีบเบาๆ
เขาก้มหน้าลงข้างหูเธอ พูดเบาๆว่า
“คนที่ไม่สำคัญ จะทำอย่างไรกับผม ผมก็ไม่สนใจ”
ตระกูลหยู รวมทั้งทุกคนในตระกูลหยู สำหรับเขาแล้วก็แค่แผ่นรองกระโดดเพื่อไปหาเย้นหว่านเท่านั้น
ในส่วนของความรู้สึก……
โห้หลีเฉินมองดูหยูฉู่สองที่ยังคงมีใบหน้าเย็นชาอยู่ตลอด หัวเราเยาะ
ไม่ต้องการก็ช่าง
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินด้วยแววตาเป็นประกาย และก็กุมมือเขาไว้แน่น
เธอสงสารเขา
เห็นชัดว่าล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องของเขา แต่กลับได้รับความอยุติธรรม การปฏิบัติที่เย็นชาแบบนี้
สายตาของเธอจริงจัง พูดเน้นทีละคำว่า “ทั้งโลกใบนี้ ฉันเป็นห่วงคุณมากที่สุด”
แววตาโห้หลีเฉินวาววับ ความเย็นยะเยือกในร่างกายสลายหายวับไปในชั่วพริบตา
มุมปากของเขามีรอยยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เหมือนจะพูดพึมพำเบาๆว่า
“เพียงพอแล้ว”
ขอแค่มีเธอ ชีวิตนี้ก็เพียงพอแล้ว
ท่าทีเย้นโม่หลินที่มีต่อท่านอาวุโสผมสีเงิน สัมผัสได้ถึงความรังเกียจ
คนที่กล้าทำร้ายน้องสาวของเขา คนที่ปกป้องเขาไม่ว่าใครก็ตาม ล้วนเป็นคนผิด
สายตาเขาเย็นชา ก้าวไปข้างหน้า กริชที่แหลมคมก็ลดลงมาที่คอของหยูซือห้าน
หยูซือห้านเดิมก็มีบาดแผลเต็มตัวอยู่แล้วยังไม่ทันจะได้รักษาที่คอ ก็เกิดรอยแยกขึ้นในชั่วพริบตา เลือดสดๆสีแดงไหลทะลักออกมา
ไหลอาบบนบาดแผลที่อยู่ทั่วตัว ดูแล้วน่ากลัวจนทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้เวียนหัว
ท่านอาวุโสผมสีเงินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที รีบพูดว่า “คุณชายเย้น คุณหมายความว่าอะไร รีบหยุดเดี๋ยวนี้!”
สภาพของหยูซือห้านตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะย่ำแย่ไปอีกถึงขั้นไหน พอลงมีดนี้ไป ไม่ได้ระวังก็อาจจะทำให้ชีวิตของเขาจบสิ้นลง
เย้นโม่หลินเอากริชแนบไว้กับคอของหยูซือห้าน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยเย็นเยือก
พูดว่า “หยูซือห้านลักพาตัวตัวน้องสาวผม ทำร้ายเธอ ถ้าตระกูลหยูของพวกคุณยังปกป้องเขาอยู่ ไม่คิดจะให้บทเรียนเขา อย่างนั้นผมก็จะจัดการเขาด้วยตัวเอง”
คำพูดที่เย็นเยือก ไม่มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย
เขาจะลงมือทำจริงๆ ที่ในอาณาเขตของหยูซือห้าน ต่อหน้าคนตระกูลหยูจำนวนมากขนาดนี้ ฆ่าคนที่พวกเขากำหนดให้เป็นทายาท!