บทที่613 ฝันไปเถอะ
เย้นโม่หลินหยุดเดิน แต่ก็ไม่ได้หันหลังไปมอง
เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “อะไร?”
โห้หลีเฉินเดินไปข้างๆเย้นโม่หลินด้วยท่วงท่าที่สง่างาม สายตามองดูเขาอย่างลึกซึ้ง
พูดเสียงเข้มว่า “ถ้าคว้าไว้ไม่อยู่ บางคน ก็จะจากไปตลอดกาล”
จากไปตลอดกาล
คำพูดนี้ เป็นเหมือนกับเข็มที่ทิ่มแทงเขาในใจของเย้นโม่หลิน ทำเอาเขารู้สึกเจ็บปวด และรู้สึกกระวนกระวายหัวใจ
และในสมองเขา มีใบหน้าของกู้จื่อเฟยลอยขึ้นมาทันที
สายตาที่มองเขานั้นห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ใบหน้าที่เย็นชา และขัดขืน
แม้เธออยู่ตรงหน้าเขา แต่เขากลับรู้สึกเธอห่างไกลออกไปมาก เล็กจนเหมือนควันไปแล้ว พอจะคว้า ก็หายวับไปต่อหน้า
ไม่คว้าไว้ ก็ไกลออกไป
ความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ได้นี้ ทำให้เย้นโม่หลินรู้สึกหดหู่ กระวนกระวายหัวใจ
เขาปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า กู้จื่อเฟยสำหรับเขาแล้ว เป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาไปแล้ว
แต่สำหรับเธอแล้ว ก็คือ……
“นายคิดมากไปแล้ว ฉันไม่มีอะไรที่ต้องคว้าไว้หรอก”
เย้นโม่หลินกลับหลังหัน ใบหน้าที่หล่อเหลาเย็นชาอย่างมาก
เขาเม้มปากพูดว่า “สำหรับฉันแล้ว คนที่ต้องคว้าไว้ ปกป้อง รักษานั้น มีเพียงเย้นหว่าน เธอเป็นลูกสาวตระกูลเย้น เป็นน้องสาวที่ฉันหวงแหน โห้หลีเฉิน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่นายคิดว่า ฉันกับกู้จื่อเฟยอยู่ด้วยกัน ก็จะใจอ่อน และยกโทษนายไปด้วย และทำให้นายได้ดั่งสมหวังงั้นเหรอ?”
คำพูดที่คมคาย เปิดโปงอย่างตรงไปตรงมา
โห้หลีเฉินยืนตัวตรง สีหน้าไม่เปลี่ยนไป เฉยชาอย่างมาก
เขาไม่ปฏิเสธ และไม่ตอบโต้
เย้นโม่หลินมองเขานิ่ง กระตุกยิ้มประชด ทั้งตัวแผดไปด้วยความเย็นชา
เสียงที่เหมือนหนามอันแหลมคมพูดขึ้นว่า “ฝันไปเถอะ!”
“โห้หลีเฉิน ฉันตามหากู้ซึงก็ดี ฉันรับเธอกลับบ้านก็ดี ดูแลเธอก็ดี เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำชดเชย แต่ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะยกโทษการหลอกลวงของเธอ หลอกก็คือหลอก เป็นไปไม่ได้ที่จะยกโทษให้ ฉันไม่มีทางเป็นอะไรกับกู้จื่อเฟยแน่นอน นาย ก็ตายใจไปเถอะ!”
แต่ละคำพูด เด็ดขาดเด็ดเดี่ยว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย
สายตาโห้หลีเฉินเย็นชาขึ้นมาทันที
……
ภายในห้อง ปิดไฟแล้ว เงียบและมืดไปหมด
มีแสงจันทร์จากหน้าต่าง เห็นเงาทั้งสองที่นอนด้วยกันบนเตียงรางๆ
พวกเธอจับมือกัน ต่างพูดความในใจของกันและกัน
กู้จื่อเฟยฟังชีวิตในช่วงนี้ของเย้นหว่าน พลิกตัวอย่างเป็นห่วง ยื่นมือไปกอดเย้นหว่านไว้
เธอเอนหัวลงไปนอนที่ไหล่เย้นหว่าน เสียงแหบและมีสะอื้นเล็กน้อย
“เสี่ยวหว่าน เธอเหนื่อยมากสินะ”
รอดตายมาได้หลายครั้ง ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแผล จิตใจกระวนกระวาย
นี่เป็นเรื่องที่กู้จื่อเฟยไม่คิดว่าจะเจอเลย และยิ่งไม่คิดเลยว่า เย้นหว่านที่เติบโตอย่างสงบสุขมาแต่เล็ก จะเจอเรื่องราวน่ากลัวแบบนี้ได้
ภายในความมืด เย้นหว่านมองดูเพดานด้วยสายตาพร่ามัว ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขขึ้นมา
เธอพูดช้าๆว่า “มีโห้หลีเฉินอยู่ ไม่เหนื่อยหรอก”
สำหรับเย้นหว่านแล้ว แม้จะเหนื่อยแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับเรื่องที่โห้หลีเฉินยังมีชีวิตอยู่
ตอนนี้เธอไม่กล้าย้อนกลับไปคิดเลย ในช่วงเวลานี้ เห็นปากกาโห้หลีเฉินที่เสียไป ตอนที่หยูซือห้านพูดว่าโห้หลีเฉินตายแล้ว หัวใจเธอแทบจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆเลย
กู้จื่อเฟยสายตากระสับกระส่าย ถามเสียงเบาว่า
“เธอกับโห้หลีเฉินต่อไปคิดจะทำยังไงกันต่อ? ดูจากสถานการณ์แล้ว พี่เย้น……พี่ชายเธอก็ดูเหมือนยังไม่ยอมรับโห้หลีเฉินเลยนะ”
พูดแล้ว กู้จื่อเฟยรู้สึกเศร้าสลดเหมือนกระต่ายตายหมาป่าเศร้า
โห้หลีเฉินเพื่อช่วยเย้นหว่านก็ยอมทิ้งชีวิตตัวเองได้ ความจริงใจนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน และเห็นเธอสำคัญกว่าสิ่งใด ถึงช่วยเย้นหว่านออกมาได้ เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตจริงๆ
แต่แม้จะทำเรื่องดีแบบนี้ ความจริงใจแบบนี้ เย้นโม่หลินก็ไม่ยอมให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอยู่ดี
เห็นได้ว่าคำขอของเย้นโม่หลินนั้นจะสมบูรณ์แบบจนเกินไปแล้วจริงๆ และไม่ยอมรับการโกหกเลยด้วย
ดังนั้นการหลอกลวงของเธอ ปกปิด ก็จะไม่มีวันได้รับการยกโทษจากเย้นโม่หลินอีกเลย
เย้นหว่านเม้มปาก สายตาเปล่งประกาย ไม่น้อยลงไปเลย
เธอพูดอย่างมั่นใจว่า
“แม้ตอนนี้จะไม่มี แต่พี่ฉันจะต้องอนุญาตแน่!”
กู้จื่อเฟยเงยหน้าเล็กน้อย ด้วยแสงจากความมืดมิด แต่กลับเห็นสายตาที่เปล่งประกายของเย้นหว่าน
เป็นความหวัง และความสว่าง
เป็นเธอเองที่ไม่มีแรงสู้และความมั่นใจ
กู้จื่อเฟยพูดอย่างกังวลว่า “ถ้าพี่ชายเธอดื้อรั้น เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมล่ะ?”
สถานการณ์แบบนี้ ก็มีความเป็นไปได้ และสูงมากด้วย
เย้นโม่หลินเป็นคนที่ดื้อรั้นที่สุดที่เธอเคยเจอมา ไม่มีใครเป็นแบบนี้อีกแล้ว
เย้นหว่านสายตาเปลี่ยนไป ที่จริงเธอก็เคยคิดเรื่องนี้ แต่เธอไม่อยากไปลองคิดผลลัพธ์ที่จะทำให้ตัวเองไม่มีความสุข
เธอเงียบสักพัก พูดเสียงเบาว่า
“ชีวิตของฉันเป็นของโห้หลีเฉิน ตลอดชีวิตนี้ ฉันจะอยู่กับเขาแค่คนเดียว”
“ถ้าพวกเขาไม่อนุญาตจริงๆ ฉันก็จะไม่ยอมแพ้ อย่างมาก ก็ไม่แต่งงานทั้งชีวิตไปเลย”
แต่งงาน เป็นความฝันของสาวหลายๆคน และเป็นที่อยู่ของทั้งชีวิตนี้ด้วย
เย้นหว่านฝันหวานถึงการแต่งงานกับโห้หลีเฉิน แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่เขาละก็ การแต่งงานก็ไม่มีความหมายสำหรับเธอ
ถ้าไม่ได้รับการอนุญาต ก็รอไปทั้งชีวิตเลยแล้วกัน
กู้จื่อเฟยมองเย้นหว่านอย่างตกตะลึง หัวใจเหมือนถูกจู่โจม เต้นแรงตึกตัก
เธออิจฉาในความกล้าของเย้นหว่าน และความเชื่อมั่นที่เด็ดเดี่ยวนั้น
ไม่สนใจสิ่งใด อยากที่จะอยู่กับคนที่ตัวเองรัก
แต่เธอล่ะ?
รักยังไม่มีสิทธินั้นเลย
รู้สึกเย็นวาบหวิวหัวใจจนพูดไม่ออก
กู้จื่อเฟยหัวเราะอย่างเหนื่อยใจ ใบหน้านอนบนไหล่ของเย้นหว่าน พูดพึมพำเสียงเบา
“เสี่ยวหว่าน ฉันอิจฉาเธอจังเลย”
แม้หนทางจะยากลำบาก แต่หัวใจกลับสว่างไสว และเด็ดเดี่ยว
เย้นหว่านยื่นมือไปลูบผมกู้จื่อเฟย หัวเราะพูดว่า
“อิจฉาอะไรฉันกัน? ถ้าอิจฉาฉันมีโห้หลีเฉินแฟนที่ดีขนาดนี้ละก็ เธอก็มีได้นะ”
พี่ชายของเธอ ก็สมบูรณ์แบบมากเหมือนกัน!
และยังเป็นคนที่กู้จื่อเฟยชอบอีกด้วย
กู้จื่อเฟยส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงขำขันว่า
“แฟนอีก? ช่วงนี้ที่เธอเกิดเรื่องขึ้น ฉันมองทุกอย่างออกหมดแล้ว คิดจะไปบวชแล้วล่ะ”
“ว่าไงนะ?”
เย้นหว่านหันหน้าไปมองอย่างตกใจ ภายในความมืด มองกู้จื่อเฟยด้วยสายตาร้อนรน
เธอพูดอย่างกังวลว่า “ช่วงนี้เธออยู่ในวัดทำสมาธิ หรือว่าคิดจะไปบวชเป็นชีจริงๆ?”
ก่อนที่กู้จื่อเฟยจะกลับมา โห้หลีเฉินบอกสถานการณ์ของกู้จื่อเฟยกับเย้นหว่านแล้ว
และรู้ว่าช่วงนี้กู้จื่อเฟยทำสมาธิท่องบทสวดที่วัด คุณภาพชีวิตแย่กว่าที่บ้านไปหน่อย
แต่ยังไงเธอก็ยังไม่บวช กู้จื่อเฟยก็เป็นคนที่ไม่สนโลกด้วย เย้นหว่านไม่คิดเลยว่าเธอจะไปบวชชี
แต่ตอนนี้คิดแล้ว กู้จื่อเฟยกลับมาครั้งนี้ อารมณ์เปลี่ยนไปมาก สงบเสงี่ยมมาก ทั้งตัวเหมือนถูกครอบงำไปด้วยเมฆดำ
สภาพแบบนี้ ง่ายมากที่จะเกิดคิดไปบวช