สีหน้าของอาวุโสผมเงินดูแย่สุดๆ เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
เหมือนที่เขาคิด โห้หลีเฉินดำรงตำแหน่งล้วนมีผลกระทบใหญ่หลวงกับผลประโยชน์และตำแหน่งของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังไม่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ก็ทำให้เขาเป็นคู่โจมตีของฝ่ายตรงข้ามแล้ว
ฝ่ามือของเขากำเป็นหมัดอย่างเงียบๆ สีหน้าแววตาค่อนข้างดุร้าย ขมวดคิ้วแน่น เปิดปากพูดด้วยเสียงแน่วแน่และดังก้อง “เป็นหมันบวกกับโรคทางพันธุกรรมกำเริบ ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อ นี่ฟังแล้วทำให้คนรู้สึกทึ่งมาก เหมือนปฏิหาริย์เลย มันไม่เหมือนกลลวงที่เป็นไปไม่ได้มากกว่าเหรอ?”
สายตาของอาวุโสผมเงินเฉียบคม เขากัดฟันพูดทีละถ้อยคำ “ระหว่างทางที่ฉันมาก็ได้ยินเย้นโม่หลินกับป่ายฉีกำลังหารือกัน บอกว่าจะพูดโกหก เดิมพันชื่อเสียงของตระกูลเย้นกับป่ายฉีเพื่อโห้หลีเฉิน”
“พวกเขาก็ต้องพูดจาโกหกแน่นอน โห้หลีเฉินเป็นหมันแน่ๆ! โรคทางพันธุกรรมก็เป็นเรื่องโกหก!”
อาวุโสผมเงินยิ่งพูดยิ่งรู้สึกความจริงก็คือแบบนี้ ยิ่งพูดจึงยิ่งแน่วแน่
เสียงที่ดังสนั่น ได้กึกก้องอยู่ในห้องโถง
หยูฉู่สองขมวดคิ้วแน่น มองอาวุโสผมเงินด้วยสายตามืดมนสุดๆ
ลุ่มลึกจนไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
และเย้นโม่หลินกับป่ายฉีที่ถูกกล่าวขาน กลับสีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่ง ไม่รู้สึกลนลานที่ถูกเปิดโปงเลย
มุมปากของเย้นโม่หลินถึงขั้นเผยรอยยิ้มที่ประชดประชันออกมา เขายิ้มและพูดล้อเล่น “ต่างก็บอกว่าหัวหน้าผู้อาวุโสของตระกูลหยูมีวิธีการที่เหนือคนธรรมดา ฉลาดมองการณ์ไกลไม่เป็นรองใคร ตอนนี้ดูท่าแล้ว ก็เป็นแค่คนดื้อด้านที่โง่เขลาไร้สมองเฉยๆ”
รังเกียจและดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง
สีหน้าอาวุโสผมเงินที่เดิมทีก็แย่มากแล้ว ทีนี้ยิ่งก็ดูแย่เข้าไปใหญ่
เส้นเลือดที่ขมับของเขากระตุก และพูดอย่างดุร้าย “ตอนนี้คุณชายเย้นคือจะหน้าด้านไม่ยอมรับคำพูดที่พูดกับป่ายฉีงั้นเหรอ? ฉันได้ยินกับหูเลยเชียวนะ”
เสียดายที่ตอนนั้นเขาไม่ได้อัดเสียงไว้ ไม่งั้นก็สามารถใช้เป็นหลักฐานในการเปิดโปงพวกมันแล้ว
ถึงเย้นโม่หลินจะปฏิเสธยังไงก็ไม่มีประโยชน์
แต่กลับไม่คิดว่าเย้นโม่หลินจะยอมรับโดยตรง “ผมกับป่ายฉีได้พูดจริงๆ อีกอย่างยังรู้ด้วยว่าคุณหลบอยู่หลังพุ่งดอกไม้และแอบฟังพวกเราอยู่”
อาวุโสผมเงินสีหน้าเปลี่ยน ตระหนักอะไรได้ในทันที
รอยยิ้มของเย้นโม่หลิน ประชดประชันสุดๆ “ถ้าผมกับป่ายฉีไม่พูดแบบนี้ จะทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสตกหลุมพราง และไปเจอหน้าหยูซือห้านพร้อมพูดคำพูดที่สามารถช่วยเขาได้ยังไง?”
เป็นคำโกหกจริงๆ แต่เป็นคำพูดที่เพื่อหลอกหัวหน้าผู้อาวุโสโดยเฉพาะ
ป่ายฉีพูดกลั่นแกล้ง “หัวหน้าผู้อาวุโส หรือหลายมาปีนี้คุณไม่เคยได้ยินชื่อเสียงและความน่าเกรงขามของเย้นโม่หลินเลย? อาศัยฝีมือและความแหลมคมของเขาแล้ว มีหรือที่จะไม่รู้ว่าท่านอาวุโสหลบอยู่ที่หลังพุ่งดอกไม้?”
อาวุโสผมเงินตัวสั่น ถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมไม่ได้
สีหน้าของเขาซีดเหมือนกระดาษ และเปิดปากพูดอย่างลุกลี้ลุกลน “พวกคุณอยากทำอะไรกันแน่? หลอกฉันไปพูดคำพูดเหล่านั้นกับหยูซือห้าน แล้วมีความประสงค์อะไรอีก?”
เขาคิดยังไงก็คิดไม่ออก
ตอนนี้หยูซือห้านเป็นคนที่อำนาจถดถอยแล้ว และเป็นปลาที่อยู่บนเขียงของคนอื่น อยากจะฆ่าจะแกงยังไงก็ได้ตามใจชอบ วางอุบายหยูซือห้านแบบนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
“งั้นผมจะบอกคุณก็ได้ ตอนนี้หยูซือห้านยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็แปลว่าเขายังมีค่าให้หลอกใช้อยู่ ในปากเขายังมีความลับมากมายที่ยังไม่ได้คายออกมา ถ้าตายไปไม่เสียดายแย่เลยเหรอ?”
รอยยิ้มของเย้นโม่หลินร้ายกาจมาก “ตอนนี้ หยูซือห้านอยู่ภายใต้การสะกดจิต นึกว่าตัวเองได้หนีออกมาจากอันตรายแล้ว กำลังอยู่ในความฝัน และกำลังโยกย้ายพลังของเขาอย่างเต็มที่อยู่…..”
ยังพูดไม่จบ แต่เสียงที่เปี่ยมล้นด้วยรอยยิ้มนั้น กลับทำให้ทุกคนของตระกูลหยูต่างก็หวั่นไหว
ยังไงซะหยูซือห้านก็เป็นคนที่ตระกูลหยูอบรมบ่มเพาะออกมา อำนาจก็ใหญ่มาก ยิ่งรู้ความลับมากมายของตระกูลหยู ถ้าหากความลับมากมายที่อยู่ในหัวของเขาเผยออกมาหมด งั้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของตระกูลหยูก็เหมือนผู้หญิงที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า และเปิดเผยอยู่ตรงหน้าของตระกูลเย้น
นี่เป็นการข่มขู่และการโจมตีที่ร้ายแรงชัดๆ!
สีหน้าของหยูฉู่สองดูแย่สุดๆ เขาจ้องอาวุโสผมเงินอย่างโหดทีหนึ่ง แทบอยากจะหั่นเขาให้เป็นชิ้นๆ
ถ้าไม่ใช่เขาวิ่งไปหาหยูซือห้าน ให้ความหวังหยูซือห้าน หยูซือห้านก็จะไม่ถูกสะกดจิตง่ายๆแบบนั้นแน่นอน!
ตอนแรก อาวุโสผมเงินก็ได้กลายเป็นหมากรุกของเย้นโม่หลินแล้ว
แต่เขาไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเลยสักนิด ยังกระโดดโลดเต้นเหมือนหมัดยังไงอย่างงั้น
ช่างโง่เขลาจริงๆ!
“หัวหน้าผู้อาวุโสดื้อดึงไม่ยอมรับผิด โจมตีผู้สืบทอดตระกูลครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้อาวุโสอีก ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป คุณก็กลับไปใช้บั้นปลายชีวิตที่บ้านเถอะ”
แทบจะไม่มีการลังเลอะไรเลย หยูฉู่สองก็ได้สั่งการปลดตำแหน่งโดยตรง
หัวหน้าผู้อาวุโสของตระกูลหยูล้วนเป็นคนที่มีภูมิหลังแน่นปึ้กและฐานะสูงส่ง ยิ่งได้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสมานานหลายปี จะไม่ลงจากตำแหน่งอย่างง่ายดายแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นหัวหน้าอาวุโสของผู้อาวุโสทั้งหลายด้วย
แต่ตอนนี้คำสั่งปลดออกมาแล้ว แต่กลับไม่มีอาวุโสท่านอื่นคัดค้าน ยิ่งไม่มีคนไหนยืนออกมาสนับสนุนหัวหน้าอาวุโสเลย
ใบหน้าแก่ชราของเขาซีดเหมือนกระดาษ ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ เหมือนเศษสวะที่ถูกโลกทั้งใบรังเกียจ
ยังไงเขาก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกอับถึงขั้นนี้
ถูกวางอุบาย สูญเสียผู้สืบทอดตระกูลที่ฝึกฝนมา ตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งหัวหน้าอาวุโสของตนเองก็ไม่มีแล้ว
พลาดก้าวเดียว แพ้ทั้งกระดาน
ในใจของอาวุโสผมเงินโกรธและเศร้าโศก แต่อ้าปากแล้วกลับพูดคำพูดที่ช่วยตัวเองหักล้างไม่ออก
สถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดแล้ว
อาศัยแค่เขาคนเดียว ไม่มีทางกอบกู้สถานการณ์กลับมาเลยด้วยซ้ำ
ราวกับแก่ชราไปหลายสิบปีในพริบตาเดียว กลิ่นไอทั้งเนื้อทั้งตัวของอาวุโสดูซึมๆ ล้มนั่งอยู่บนเก้าอี้
ไม่สดชื่นและกระปรี้กระเปร่าอีกต่อไป
เย้นหว่านมองการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ตรงหน้านี้ ลึกๆกลับรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ
หยูซือห้านหลงกลถูกสะกดจิตแล้ว
งั้นก็หมายความว่า รู้ข่าวคราวของกู้ซึงแล้ว!
ไม่นานพวกเขาก็จะสามารถช่วยกู้ซึงออกมาแล้ว ในที่สุดภูเขาที่อยู่ในอกของเธอ ก็ได้วางลงที่พื้นอย่างปลอดภัยสักที
พอลงโทษหัวหน้าอาวุโสแล้ว ใบหน้าของหยูฉู่สองประดับด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดอย่างไม่ตายใจอีก “คุณป่ายฉี ฉันรับประกันคนที่ไปหายาจะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ที่สุด จะไม่รั่วไหลออกมาแม้แต่คำพูดเดียวแน่นอน คุณบอกฉันได้มั้ยว่าจะหายาอะไร ให้ฉันได้ออกแรงเพื่อหลีเฉินบ้าง”
น้ำเสียงของเขาจริงใจ เหมือนคุณปู่แสนดีที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อหลานชาย
ถ้าไม่มีคำพูดแล้งน้ำใจของเขาในก่อนหน้านี้………
สายตาของป่ายฉีชิวๆ ไม่ได้ปฏิเสธในทันที แต่ได้มองไปที่โห้หลีเฉินด้วยสายตาสอบถาม “ชีวิตเป็นของนาย ตระกูลหยูก็เป็นของนาย จะเอายังไง นายเป็นคนมาตัดสินใจเองเถอะ”
จะบอกกับคนของตระกูลหยูหรือเปล่า จะให้ตระกูลหยูช่วยเหลือมั้ย ก็ให้โห้หลีเฉินตัดสินใจเอง
เขาอยู่ตระกูลหยู ก็สามารถวิเคราะห์และตัดสินได้ชัดเจนกว่าถึงความจริงใจและการเสแสร้งของหยูฉู่สอง หรือแม้กระทั่งความปลอดภัยที่ส่งคนไปหายา
เพราะพูดตามหลักแล้ว ถ้ามีความช่วยเหลือจากตระกูลหยู อาจจะมีโอกาสและความเป็นไปได้เพิ่มมากขึ้น
แววตาของเย้นหว่านระยิบเล็กน้อย กุมมือของโห้หลีเฉินให้แน่นขึ้น มองโห้หลีเฉินด้วยสายตาเปล่งประกาย สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
ไม่ว่าเขาตัดสินใจยังไง เธอก็จะสนับสนุนเขาอย่างแน่นอน
แต่ว่าสายใยครอบครัวที่ตั้งอยู่บนฐานของผลประโยชน์ “ความรักความห่วงใย”ที่มาช้าเกินไปของหยูฉู่สอง โห้หลีเฉินยังต้องการอยู่หรือเปล่า?