ซาอินติมองดูโห้หลีเฉินจับมือของเย้นหว่าน ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง สีหน้าที่น่ากลัวก็เปลี่ยนไป
เธอกรี๊ดอย่างโมโห “โห้หลีเฉิน ฉันพูดมาเยอะขนาดนี้แล้ว นายยังเลือกที่จะอยู่กับเย้นหว่านอีกเหรอ? เลือกเธอ นายจะตาย!”
โห้หลีเฉินเพิ่งจะเงยหน้า มองซาอินติไปทีหนึ่ง แววตาเย็นชาจนน่าตกใจ
เขายิ้มประชดอย่างเย็นชา “แล้วไงล่ะ?”
ท่าทางที่ไม่แคร์ ทำให้ซาอินติตกตะลึงไปทั้งคน
เธอไม่อยากจะเชื่อราวกับถูกฟ้าผ่า
เธอไม่เคยคิดเลยว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ช่วงเวลาความเป็นความตาย โห้หลีเฉินกลับไม่แม้แต่จะคิด ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นหรือจะตาย ก็จะอยู่กับเย้นหว่าน
หรือว่า เขาไม่สนใจชีวิตของตัวเองเลยเหรอ?
สำหรับเขาแล้ว เย้นหว่านสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?
ไม่ เป็นไปไม่ได้
บนโลกใบนี้ไม่มีคนแบบนี้ ยอมเสียสละชีวิตของตัวเอง เพื่อแลกกับชีวิตของคนรัก สถานการณ์แบบนี้ไม่มีอยู่จริง แต่ถ้าคนรักต้องตาย ในเงื่อนไขที่ตัวเองสามารถมีชีวิตได้ เลือกที่จะตายไปด้วยกัน นั่นสิคนโง่
ไม่มีใครจะตัดสินใจทำเรื่องที่โง่เขลาแบบนี้
อีกอย่างโห้หลีเฉินทั้งเฉลียวฉลาดไม่มีใครเทียบได้ เขาไม่มีทางทำเรื่องที่โง่เขลาแบบนี้แน่นอน
เขากำลังดีดลูกคิดเล่นงานเธออยู่แน่ๆ เขาต้องคิดว่าเธอไม่อยากจะยิงเขา ไม่อยากให้เขาไปตาย ดังนั้นจึงมัดตัวเองไว้กับเย้นหว่าน เธอก็จะไม่ลงมือ
เขาดีดลูกคิดเล่นงานเธอ และยิ่งเป็นบังคับเธอ
เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะปล่อยให้เขาและเย้นหว่านรักกันเด็ดขาด!
“โห้หลีเฉิน ถ้าหากฉันไม่ได้นาย งั้นฉันไม่แคร์ที่จะทำลายนายหรอกนะ!”
ซาอินติโกรธแค้น สีหน้าดุร้ายมาก
เธอยกมือซ้ายขึ้น ออกคำสั่ง “ยิง! ฆ่าพวกเขาซะ!”
เย้นหว่านตกใจ แข็งทื่อไปทั้งตัว เงิบเลย
คิดไม่ถึงเลยว่า ซาอินติจะโหดร้ายถึงขั้นนี้ ถ้าไม่ได้ ก็จะฆ่าโห้หลีเฉินด้วย!
รอบข้างเต็มไปด้วยองครักษ์ ปืนหลายสิบกระบอกที่ยิงพร้อมกัน แม้ว่าโห้หลีเฉินจะว่องไวดั่งไฟฟ้า ก็หลบไม่พ้นแน่นอน
เธอทั้งกลัว และไม่พอใจ
เมล็ดแมกโนเลียอยู่ตรงหน้านี้แล้ว สามารถออกจากประเทศเบียนหนานได้แล้วแท้ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกทำลายด้วยมือของซาอินติ
ให้เธอและโห้หลีเฉิน ตายไปพร้อมกัน
ใจของเย้นหว่านดิ่งลงสุดขีด มองดูบอดี้การ์ดที่อยู่ตรงหน้า ลั่นไก กระสุนก็พุ่งเข้ามา——
“ปังๆๆ”
เสียงปืนที่ดังขึ้น ดังสนั่นจนสมองของเย้นหว่านว่างเปล่า ใจที่ดิ่งลงก่อนหน้านี้หมดหวังทันที
แต่ จู่ๆโห้หลีเฉินก็โอบเอวของเย้นหว่าน ยกเธอขึ้นจากพื้น พาเธอหมุนครึ่งตัว
ในขณะเดียวกัน โห้หลีเฉินมุ่งไปข้างหน้าด้วยความว่องไว
ท่าเดินของกลับกลอกปลิ้นปล้อนสับปลับ ทั้งไวทั้งเด็ดเดี่ยว บอดี้การ์ดที่อยู่ตรงหน้าเขา ล้มลงกับพื้นในเวลานั้น โห้หลีเฉินอุ้มเย้นหว่าน มุ่งไปข้างหน้า กระโดดเข้าพุ่มไม้ในข้างหลัง ซ่อนตัวอยู่หลังใต้ต้นไม้ใหญ่
เท้าของเย้นหว่านไม่แตะพื้น สมองโล่งๆมาตลอดทั้งทาง และมึนงง
จนกว่าเท้าทั้งสองจะแตะพื้น เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัว เธอ ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?
โห้หลีเฉินถูกผู้คนเยอะแยะมากมาย ที่ลั่นไกยิงล้อมรอบสามร้อยหกสิบองศา พาเธอออกมาโดยที่ยังมีชีวิต?
เป็นไปได้ยังไง?
นั่นมันเหลือเชื่อเหลือเกิน
เย้นหว่านมองไปทางโห้หลีเฉินโดยที่ยังช็อก ก็เห็นอย่างตกใจ สีหน้าของโห้หลีเฉินซีดขาวราวกระดาษ เหงื่อที่เต็มบนหน้าผาก ไหลลงราวกับน้ำปะทุ
เย้นหว่านแข็งทื่อไปทั้งตัว จู่ๆก็คิดอะไรได้
เธอพูดอย่างตกใจ “โห้หลีเฉิน นายโดนปืนยิงใช่ไหม?”
โห้หลีเฉินเหมือนกำลังแบกรับเจ็บปวดอย่างมาก เปลือกตายังประทังอย่างฝืน น้ำเสียงเขาแหบราวกับถูกขัด
“นัดเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก”
แค่นัดเดียวจริงๆเหรอ?
สภาพของเขา ดูเหมือนจะถึงขั้นแย่ที่สุดแล้ว
ซาอินติตะโกนอย่างใจสลาย
“โห้หลีเฉิน เพื่อเย้นหว่าน นายสามารถยอมเสียสละชีวิตของตัวเองเลยเหรอ? บัดซบ บัดซบที่สุด!”
“นายกล้าเอาชีวิตมาเดิมพัน เดิมพันว่าฉันจะไม่ให้คนยิงนาย ยิงแค่เย้นหว่าน นายเลยกล้าเอาตัวมาบังกระสุนให้เธอ ช่วยเธอเอาไว้!”
“นายคิดว่านายบังกระสุน ช่วยเธอไว้ เธอก็จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดงั้นเหรอ?! ไม่มีทาง เธออย่าได้คิดที่จะหนีออกไปจากที่นี่เหมือนกัน ถ้านายตาย ฉันจะให้เธอตายอย่างสลดใจพันเท่าหมื่นเท่า!”
เย้นหว่านเบิกตาโตกว้าง มองโห้หลีเฉินอย่างตกใจ อารมณ์ในใจของเธอแปรปรวนแทบจะกลบเธอ
ก็ว่า ก็ว่าทำไมเธอถึงไม่บาดเจ็บ
ที่แท้โห้หลีเฉินนับแล้วว่าซาอินติจะให้คนยิ่งแค่ฝั่งเดียว ดังนั้นเขาจึงอุ้มเธอขึ้นในวินาทีแรก พาเธอหมุนไปครึ่งตัว
เขาบังกระสุนที่จะยิงเธอไว้หมด ใช้ร่างกายในการบัง
เกือบมีครึ่งองครักษ์ยิงปืน กระสุนหลายสิบนัด งั้นหลังของโห้หลีเฉิน……
เย้นหว่านไม่กล้าคิด ว่าจะเป็นสภาพแย่ขนาดไหน แล้วมีกระสุนอีกกี่นัด ที่ยิงโดนจุดสำคัญ
จมูกของเย้นหว่านปวดขึ้นมา ตรงหน้า สายตาพร่ามัวด้วยน้ำตาในทันที
เธอคุกเข่าลงต่อหน้าโห้หลีเฉิน มือทั้งสองที่สั่นเทาจับแขนเขาไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้น
โห้หลีเฉินมองแย้นหว่านอย่างปวดใจ ปลอบใจด้วยเสียงแหบ “ยิงไม่โดนจุดสำคัญหรอก ผมไม่ตายหรอก คุณอย่าร้องไห้……”
เมื่อกี้เขาบอกว่าโดนแค่นัดเดียว ตอนนี้เธอจะเชื่อเขาได้อย่างไร
ทันใดนั้นเย้นหว่านร้องไห้หนักกว่าเดิม เธอที่น้ำตานองหน้าแม้แต่คนก็เห็นไม่ชัด
เธอตัวสั่น เอียงคอมองไปด้านหลังของโห้หลีเฉิน “นายให้ฉันดูหน่อย ฮือๆ ให้ฉันดู……”
วินาทีที่เย้นหว่านใกล้จะเห็น มือข้างหนึ่ง จู่ๆก็ปิดตาเธอ
ตรงหน้า มืดมนไปทันที
เย้นหว่านยื่นมือดึงมือของโห้หลีเฉินลง โห้หลีเฉินกลับพูดข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เย้นหว่าน อย่าร้องไห้แล้ว คุณต้องเข้มแข็ง ถึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ ถึงจะช่วยผมได้”
ช่วยเขา?
คำพูดที่ไวต่อความรู้สึกนี้ หยุดน้ำตาของเย้นหว่านลงทันที
จากนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่า ปืนพกที่เย็นเฉียบถูกยัดในมือของเธอ บนนั้น เปื้อนด้วยเลือด
โห้หลีเฉินค่อยๆเอามือที่ปิดตาเธอลง มองเธออย่างจริงจัง แล้วพูด
“ผมจะอยู่ที่นี่เพื่อถ่วงพวกเขาไว้ คุณวิ่งจากข้างหลัง ไปหาเซอร์ยุนซี ให้เขานำทัพตีกลับมา”
ราวกับกลัวว่าเย้นหว่านจะไม่เห็นด้วย โห้หลีเฉินพูดเน้นอีกรอบ “พวกเราสองคนอยู่ที่นี่ ต้องตายแน่นอน คุณไปเรียกคนช่วยมา ผมยังมีโอกาสรอด”
เย้นหว่านถือปืนพก มองโห้หลีเฉินอย่างอึ้งๆ
สีหน้ายิ่งอยู่ยิ่งซีด
เธออ้าปากพูด น้ำเสียงสั่นเทา “นะ นายให้ฉันไปคนเดียวเหรอ? ทิ้งนะ นายไว้ที่นี่?”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว แววตาร้ายวาบผ่าน
เขากระตุกปากซีด พยายามฝืนยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไม่ใช่ทิ้งผมอยู่ที่นี่ ให้ไปหาคนมาช่วย กลับมาช่วยผม เย้นหว่าน ผมรอคุณมาช่วยอยู่ที่นี่”
รอ?
เย้นหว่านมองเขา ดวงตาแดงก่ำ
ท่าทางโห้หลีเฉินแบบนี้ ยังสามารถรอถึงเธอมาช่วยเหรอ? ตอนนี้เขาพูดยังลำบากเลย ระหว่างที่อ้าปาก สามารถเห็นเลือดในลำคอของเขา
กลัวว่าถ้าเธอไป เขาจะล้มลงในกองเลือดนี้