เวลามากกว่านี้อีกหน่อย?
เย้นหว่านหันหน้าไป มองโห้หลีเฉินด้วยแววตาสั่นระริก “งั้นต้องอีกนานเท่าไหร่?”
“อย่างมากที่สุดก็สองเดือน”
โห้หลีเฉินพูดอย่างมั่นใจ
เมื่อได้เวลาที่แน่นอนแล้ว หัวใจของเย้นหว่านที่ตกลงไปในหลุกน้ำแข็ง ถึงได้ค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย
เวลาอีกสองเดือน ก็พอถูไถไปได้ เธอยังมีเวลาอีกสองปีครึ่งที่จะเอายามา
ป่ายฉีมองโห้หลีเฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน ก่อนลอบถอนหายใจ
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ สองเดือน น่ากลัวว่าจะไม่มีทางหาได้
สองเดือนที่โห้หลีเฉินพูด เกรงว่าจะเป็นเพียงเรื่องโกหกเพื่อปลอบใจเย้นหว่านชั่วคราวเท่านั้น
เรื่องการตามหายา มันยากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้อย่างประมาณไม่ได้
“เอาล่ะ มากินอะไรกันสักหน่อยเถอะ นั่งรถนานขนาดนั้น เหนื่อยไหม?”
เย้นโม่หลินเดินมาเบื้องหน้าเย้นหว่าน มองเธอด้วยความห่วงใย
เห็นเย้นหว่านอกสั่นขวัญแขวนแบบนี้แล้ว ในใจของเขาไม่สบายใจอย่างมาก แทบอยากจะให้เย้นหว่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เย้นหว่านไม่มีความอยากอาหารอะไร เธอส่ายหน้า “ฉันไม่หิว”
พูดดังนั้น เธอก็คิดจะเดินไปขึ้นรถ
เย้นโม่หลินกลับเอื้อมมือไปจับข้อมือของเธอไว้ แล้วพูดอย่างจริงจัง
“ไม่หิวก็ต้องกินสักหน่อย ไม่อย่างนั้นร่างกายของเธอจะทนไม่ไหว เชื่อฟังนะเด็กดี”
น้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับหนักแน่นไม่อาจปฏิเสธได้
เย้นหว่านนั้นไม่มีความอยากกินอะไรเลยจริงๆ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไม่ว่ายังไงก็สงบใจไม่ได้ วุ่นวายใจแทบไม่ไหว
เธอยังคิดจะปฏิเสธ ขณะจะเอ่ยปาก ในตอนนั้นเองเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เป็นสายของเธอ
เธอรีบหยิบมือถือออกมา ก็เห็นชื่อกู้จื่อเฟยปรากฏบนหน้าจอ
เย้นโม่หลินที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเย้นหว่าน ก็มองเห็นชื่อนั้นโดยทันที
แววตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จิตใจที่สงบนิ่งไม่สั่นคลอน พลันเกิดระลอกคลื่นขึ้นอย่างกะทันหัน
เย้นหว่านไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของเย้นโม่หลิน แล้วรับโทรศัพท์
ที่ปลายสาย น้ำเสียงร่าเริงของกู้จื่อเฟยดังขึ้นมาทันที
“เสี่ยวหว่าน ใช่เธอรึเปล่า?”
เย้นหว่านพยักหน้าตอบกลับไป “นี่ฉันเอง จื่อเฟย ว่าไง?”
“เป็นเธอจริงๆ ดีจังเลย ดวงใจของฉัน ในที่สุดก็กลับไปอย่างปลอดภัยแล้ว”
กู้จื่อเฟยถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เธอไม่รู้หรอกว่าหลายเดือนมานี้ มือถือของเธอโทรไม่ติดเลย ฉันวิตกกังวลอยู่ทุกวัน กลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเธอ”
น้ำเสียงห่วงใย ทำให้ในใจของเย้นหว่านรู้สึกอบอุ่น
แต่สุดท้ายเรื่องที่หายาไม่เจอก็กดทับในใจ เธอเองจึงดีใจไม่ออก
เธอพูด “ฉันสบายดี ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรหรอก แค่ทางนั้นไม่มีสัญญาณ ดังนั้นเลยติดต่อไม่ได้ พวกเราได้ออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว เมล็ดแมกโนเลียเองก็หาเจอ เธอวางใจเถอะนะ”
“งั้นก็ดี งั้นก็ดีแล้ว”
น้ำเสียงกังวลของกู้จื่อเฟย ในที่สุดก็มีรอยยิ้มแล้ว
เย้นหว่านอยู่ในอารมณ์จมดิ่ง จึงไม่อยากพูดอะไรมาก เธอเอ่ย “จื่อเฟย งั้นฉันวางสายก่อนนะ”
“รอเดี๋ยว”
กู้จื่อเฟยรีบขานเรียก “เสี่ยวหว่าน เธอเจอเบาะแสของยาอีกสองรึยัง? รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้วรึเปล่า จะไปอีกครั้งตอนไหนเหรอ? ก่อนออกเดินทาง ฉันจะได้พบเธอไหม”
คำถามที่มาเป็นชุด บังเอิญถามไปถึงความเจ็บปวดในใจของเย้นหว่าน
แม้โห้หลีเฉินจะพูดว่าเวลามากที่สุดอีกสองเดือนก็สามารถหาเบาะแสเจอได้แล้ว แต่เมื่อไม่มีเบาะแสที่เป็นรูปธรรม หัวใจของเธอก็กระวนกระวายอยู่ตลอด
ราวกับว่าเท้าทั้งสองข้างลอยอยู่กลางอากาศ ไม่มีที่ให้หยัดยืน
เย้นหว่านเอ่ยเสียงเบา “ยังไม่มีไปอีกสักพักน่ะ ยังกำลังหาอยู่”
“เสี่ยวหว่าน ฉันอาจจะมีเบาะแสอย่างหนึ่งอยู่ที่นี่ก็ได้” กู้จื่อเฟยพูด
ได้ยินดังนั้น เย้นหว่านตะลึงไปชั่วครู่ มันเหนือความคาดหมายอย่างมาก
เธอรีบเอ่ยถาม “เธอพูดถึงเบาะแสอะไร?”
“ฉันอาจจะรู้เบาะแสของหยิงหลิงก็ได้”
เสียงของกู้จื่อเฟยที่ส่งมาจากโทรศัพท์ เป็นราวกับเสียงสวรรค์
เย้นหว่านตื่นเต้นดีใจแทบกระโดดโลดเต้น แต่กลับถามอย่างกังวล “เธอพูดจริงเหรอ? แน่ใจนะ?”
“ฉันมั่นใจแปดสิบเปอร์เซ็น ฉันรู้ข้อมูลมาจากตัวลูกเศรษฐีคนหนึ่งที่มาที่นี่ ฉันรู้ว่าเธอกำลังตามหาอยู่ เลยระมัดระวังและทดสอบหยั่งเชิงเป็นพิเศษแล้ว น่าจะเป็นความจริง”
คำพูดของกู้จื่อเฟย เหมือนกับมือที่ปัดเป่าเมฆดำ ผลักเมฆหมอกดำมืดที่ทับอยู่เหนือหัวของเย้นหว่านออกไปหมด
“เยี่ยมไปเลย กู้จื่อเฟยฉันรักเธอชะมัดเลย” เย้นหว่านตื่นเต้นจนแทบอยากจะจูบมือถือ “เธอรีบบอกมาเร็วว่าหยิงหลิงอยู่ที่ไหน เกี่ยวอะไรกับลูกเศรษฐีคนนั้นรึเปล่า? มันอยู่ที่บ้านเขางั้นเหรอ?”
ได้ยินคำที่เย้นหว่านพูด คนอื่นๆ ในที่นั้นเองก็มุ่งความสนใจมาที่ตัวเย้นหว่านกันหมด
ไม่มีใครคาดคิด ว่าที่อยู่ของหยิงหลิงจะโผล่ออกมาแบบนี้
เย้นหว่านสังเกตเห็นแววตาของพวกเขา จึงไม่รีรอที่จะลดโทรศัพท์มือถือลงแล้วเปิดเป็นแฮนด์ฟรี
น้ำเสียงไพเราะของกู้จื่อเฟยดังออกมาจากมือ
“ไม่นานมานี้มีทายาทเศรษฐีจากที่อื่นคนหนึ่ง เขามาตามจีบฉัน ตอนแรกฉันก็ไม่อยากจะสนใจเขา แต่กลับไปได้ยินตอนเขาคุยโทรศัพท์เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ พูดถึงว่าจะเก็บรักษาหยิงหลิงไว้ยังไง ฉันได้ยินคำพูดนั้น เหมือนกับว่าคนรับใช้ในตระกูลของเขาจะทำสิ่งที่เดิมใช้เก็บรักษาหยิงหลิงพังเข้า ดังนั้นจึงต้องเก็บไว้ใหม่”
เย้นโม่หลินมองไปที่โทรศัพท์มือถือด้วยแววตาหนักอึ้ง นัยน์ตาวาบประกายดำมืดอย่างห้ามไม่ได้
ตามจีบเธองั้นเหรอ?
ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบที่ป่ายฉีพูดไว้ กู้จื่อเฟยกลับไปเมืองหนาน ก็อยู่อย่างสุขสบายและผ่าเผยจริงๆ
กู้จื่อเฟยพูดต่อ “หลังจากนั้นฉันก็เลยติดต่อกับเขาสักหน่อยไปตามน้ำ อยากจะหยั่งเชิงสภาพของหยิงหลิงอย่างเป็นรูปธรรมจากปากเขา แต่การตั้งรับของเขาแกร่งมาก จนถึงตอนนี้ฉันยังหยั่งเชิงอะไรไม่ได้สำเร็จเลย
แต่ที่ดูจากปฏิกิริยาของเขา หยิงหลิงสำหรับเขาแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยหรอก”
เย้นหว่านดีใจจนใบหน้าอดแย้มยิ้มไม่ไหว ข่าวนี้ของกู้จื่อเฟยนั้นคือเข็มทิศที่จะพบหยิงหลิงอย่างสมบูรณ์แบบ
เป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นที่ในบ้านของทายาทเศรษฐีนั่นจะเก็บรักษาหยิงหลิงอยู่
เพียงแค่เริ่มลงมือที่ตัวเขา ไม่ว่าจะต้องทำธุรกิจซื้อขายหรือใช้วิธีใดก็ตาม ก็สามารถนำหยิงหลิงมาได้ทั้งนั้น
“จื่อเฟย เธอรอก่อนนะ พวกเราจะไปหาเธอที่บ้านเดี๋ยวนี้”
เย้นหว่านพูดอย่างเร่งร้อน “ถึงตอนนั้นแล้วเธอช่วยแนะนำนิดหน่อย ดูว่าจะสามารถซื้อหยิงหลิงกับเขาได้ไหม”
“ใช้วิธีการซื้อคงไม่ดีนัก ฉันเคยหาคนไปทดสอบแล้ว จงใจพูดว่าต้องการซื้อหยิงหลิงในราคาสูง เขาก็ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย กระทั่งแสดงออกว่าไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าหยิงหลิงมีลักษณะเป็นยังไง”
กู้จื่อเฟยเอ่ยอย่างค่อนข้างลำบากใจ
เย้นหว่านขมวดคิ้ว “งั้นทำยังไงดีล่ะ?”
“ฉันติดต่อพวกเธอไม่ได้มาตลอด และก็ไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น จนทำเขาตกใจหนีไป เลยไม่กล้าแสดงออกมากนัก เพียงแค่นัดพบกับเขาเป็นบางครั้งคราว เพื่อให้ความหวังเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของกู้จื่อเฟย สีหน้าของเย้นโม่หลินก็หม่นมืดลงทันที
ในชั่วพริบตานั้นทั่วร่างราวกับปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน
นัดพบ?
ให้ความหวังยังไง?
แค่ภาพเขายังไม่อยากจะคิด เขาเอ่ยด้วยสีหน้ามืดดำ
“เธอห้ามทำอะไรก่อนทั้งนั้น คืนพรุ่งนี้พวกเราก็จะไปถึงที่นั่นแล้ว เจอกันแล้วค่อยคุยให้ชัดเจน สองวันนี้เธอห้ามไปเจอเขาอีก”
สิ้นเสียงของเย้นโม่หลิน ปลายสายก็เงียบเสียงไปชั่วขณะ
ผ่านไปพักหนึ่ง ในนั้นถึงได้ส่งเสียงอันแผ่วเบาและไม่มั่นใจของกู้จื่อเฟยออกมา “คุณชายเย้น คุณก็จะมาด้วยเหรอ?”