ฉู่ฉู่ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ไม่ ฉันแค่เป็นห่วงคุณ”
ถ้าหากเธอมาไม่ทันเวลา เซอร์ยุนซีก็คงตกลงไปแล้ว ตอนแรกอาการบาดเจ็บของเขาก็ดีแล้ว ถ้าเขาตกลงไปในครั้งนี้จะไม่เพิ่มอาการบาดเจ็บให้ยิ่งไปกว่านี้เหรอ?
“เป็นห่วงฉันหรือเห็นใจฉัน”
ท่าทางของเซอร์ยุนซีประชดประชันอย่างมาก “คุณคิดว่าฉันน่าตลกมากใช่ไหมที่คอยตามหลังเย้นหว่านเหมือนคนโง่ แต่กลับไม่รู้ว่าเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ถูกเธอปั่นจนหัวหมุน แต่คิดเอาเองฝ่ายเดียวไปวัน ๆ “
เขามั่นใจมากกว่าเพียงครั้งเดียวว่าเย้นหว่านเป็นคนที่ชอบเขา
ดังนั้นทุกครั้งที่เขาคิดไปเองว่าการปฏิเสธคำแนะนำของเธอ ก็เพราะเธออาย หรือกังวลใจเกี่ยวกับเขา
ในความเป็นจริงตั้งแต่ต้นจนจบภายในใจของเธอไม่เคยมีเขาเลย แต่เขาเป็นเหมือนตัวตลกชั้นต่ำที่คิดไปเอง กำกับเอง และแสดงเอง
เซอร์ยุนซีไม่เคยรู้สึกว่าในชีวิตของตนเองจะน่าอับอายอย่างไม่คาดฝันได้ถึงขั้นนี้
รอบดวงตาของฉู่ฉู่กลายเป็นสีแดง แล้วเธอก็ส่ายหัวไปมา
หญิงสาวสะอึกสะอื้นพูดว่า “ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ฉันเป็นห่วงคุณจริง ๆ กังวลว่าร่างกายของคุณจะได้รับบาดเจ็บ ฉันปวดใจนะ”
สามสี่คำสุดท้ายราวกับจะตะโกนพูดคำที่ลึกสุดในใจออกมา
หลังจากฉู่ฉู่พูด ตัวเองก็ตกตะลึงด้วยความแปลกใจ ใบหน้านั้นแดงซ่านด้วยความอาย และมีน้ำตาไหลซึมออกมา
เซอร์ยุนซีชะงักงันครู่หนึ่ง แล้วมองฉู่ฉู่ด้วยความประหลาดใจ
เธอบอกว่าเธอปวดใจ?
ในชั่วพริบตานั้นเสมือนมีกระแสไฟฟ้าพุ่งเข้าสู่หัวใจ นำพาการสั่นสะท้านและความตื่นตระหนกที่ไม่คุ้นเคยมา
ไม่ ไม่ถูกต้อง
ผู้หญิงชอบสร้างภาพลวงตาคนอื่นมากที่สุด ทุกคนล้วนแต่เสแสร้งโกหก ปากบอกว่าปวดใจ แต่ไม่เคยมีใจให้แม้สักนิด
“ฉันจะไม่มีวันเชื่อคำพูดของผู้หญิงอย่างพวกคุณอีกแล้ว”
คำพูดแต่ละคำแต่ละประโยคของเซอร์ยุนซีเหมือนจะเล็ดลอดออกมาจากการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเขา ตามมาด้วยความโกรธอันรุนแรงมากขึ้น “คุณและเย้นหว่านล้วนเหมือนกันหมด พวกคุณหลอกฉันมาตลอด ฉู่ฉู่ ต่อไปคุณอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ฉันไม่อยากเจอคุณอีกแล้ว”
หลังจากเซอร์ยุนซีพูดจาอย่างรุนแรง แล้วขยับเท้าก้าวเดินผ่านฉู่ฉู่ไป
ร่างสูงสง่างามเผยให้เห็นความเย็นยะเยือกซึ่งคนแปลกหน้าไม่ควรเข้าใกล้
ใบหน้าเล็ก ๆ ที่แดงซ่านของฉู่ฉู่พลันเปลี่ยนเป็นขาวซีดในทันใด และเธอก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับว่ามีอากาศเย็นที่พุ่งจากปลายเท้าขึ้นไปถึงศีรษะของเธอ ทำให้ทั้งร่างของเธอกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว
หนาว หนาวมาก
ในหัวใจรวดร้าวราวกับถูกเจาะด้วยสว่านน้ำแข็งอันแหลมคม
เขาบอกว่าไม่อยากเจอเธออีกแล้ว
ไม่อยากเจอเธออีกแล้ว…
ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักนั้นแสดงออกไม่ทันเวลา ก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น
——
เย้นโม่หลินพูดได้ก็ทำได้จริง ๆ เมื่อท้องฟ้ามืดแล้ว เขาก็ดึงเย้นหว่านและออกจากห้องของโห้หลีเฉินทำให้เธอกลับไปนอนที่ห้องของเธอ
เย้นหว่านมองลักษณะซีดเซียวของโห้หลีเฉิน ก็รู้สึกไม่เต็มใจทุกทาง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพี่ชายผู้ดื้อรั้นของตนเองได้
กลุ้มใจมากจริง ๆ
เธอถูกบังคับให้ซุกตัวอยู่บนเตียง เธอมองดูเพดานและพลิกตัวไปมาแล้ว ก็นอนไม่หลับ
ในห้วงความคิดของเธอคือลักษณะใบหน้าซีดขาว และอาการบาดเจ็บอันรุนแรงของเขา หากเขาขยับตัวคงต้องเข้าไปช่วยเหลือเกี่ยวข้อง เมื่อเขากระหายอยากดื่มน้ำสักแก้วก็ล้วนแต่ไม่สะดวกสบายเลย
เขาบาดเจ็บแบบนี้ก็เพราะเธอ เขายังเป็นผู้ชายของเธออีก ในเวลานี้ทำไมเธอถึงไม่สามารถอยู่ดูแลเคียงข้างเขาล่ะ?
เย้นหว่านไม่สบายใจจริง ๆ จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง
เธอกับโห้หลีเฉินอยู่ในห้องที่มีโถงเล็ก ๆ ร่วมกัน ประตูต่อประตู ระยะใกล้มาก
เย้นหว่านเดินไปที่ด้านข้างของม่านประตู และฟังการเคลื่อนไหวภายนอกอย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง เธอเกือบแน่ใจว่าในห้องของโห้หลีเฉินเหมือนจะไม่มีใคร
จากนั้นเธอก็เดินออกมาอย่างแผ่วเบา และใช้ประโยชน์จากความมืดสนิทในยามค่ำคืน แล้วแอบเข้าไปในห้องของโห้หลีเฉิน
ในห้องของโห้หลีเฉินไม่มีแสงไฟ มีเพียงแสงจันทร์เย็นยะเยือกก็สาดส่องแทรกเข้ามา แต่ก็ยังทำให้ห้องสว่างไสว
เพียงแวบเดียวเย้นหว่านก็มองเห็นโห้หลีเฉินนอนอยู่บนเตียง
ป่ายฉีที่มีหน้าที่ดูแลเขาตอนกลางคืน ก็ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหน
เย้นโม่หลินและคนอื่น ๆ หลอกเธอจริง ๆ พวกเขาแค่ไม่ต้องการดูแลโห้หลีเฉินให้ดี หลังจากพวกเขาพาเธอไป ก็ไม่ได้ส่งใครมาดูแลเขา
เย้นหว่านดีใจที่ตนเองมาที่นี่
โห้หลีเฉินลืมตาขึ้นมองเย้นหว่านที่เดินเข้ามา
เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณมาที่นี่ได้อย่างไร”
“ฉันไม่สบายใจ ฉันมาดูแลคุณ”
ขณะที่เย้นหว่านพูด ก็นั่งเบา ๆ ลงบนเก้าอี้ข้างเตียง แล้วมองโห้หลีเฉินด้วยแววตาอ่อนโยน “คุณนอนหลับอย่างสบายใจเถอะ ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจ ก็บอกฉัน ฉันอยู่ที่นี่เสมอ”
ดวงตาของโห้หลีเฉินกะพริบ มุมปากของเขาก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
เธออดทนที่จะนั่งบนเก้าอี้นั้นได้ตลอดทั้งคืน แต่เขาทนไม่ไหว
เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “คุณนอนคนเดียวไม่หลับเหรอ?”
แก้มของเย้นหว่านค่อย ๆ เป็นสีแดง ดวงตาของเธอกะพริบไปมา
เธอกระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “ทำไม ฉันแค่กังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของคุณเท่านั้น เมื่อคุณอาการดีขึ้น ฉันก็จะไปนอนเองล่ะ”
“แต่ฉันนอนคนเดียวไม่ได้”
โห้หลีเฉินยื่นไปดึงมือเล็ก ๆ ของเย้นหว่าน แล้วถูฝ่ามือนั้นอย่างอ่อนโยน
ระดับความร้อนอันอบอุ่นนั้นทำให้ระคายผิวเล็กน้อย เหมือนกับกระแสไฟฟ้าหลั่งไหลสัมผัสฝ่ามือของเย้นหว่าน ทำให้ร่างกายของเธอตรงนิ่งโดยที่สติขาดผึง
หัวใจของเธอก็เต้นแรงโลดไปมาอย่างบ้าคลั่ง
โห้หลีเฉินหมายความว่าอะไร?
ใจของเธอร้อนรนสับสน ร่างกายของเธอเอนเอียงไปที่เตียงตามแรงดึงของโห้หลีเฉินอย่างควบคุมไม่ได้
เพียงครู่เดียวทั้งตัวเธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง ริมฝีปากของเธอใกล้จะจุมพิตปลายจมูกของเขาแล้ว
โห้หลีเฉินมองเธอตรง ๆ ดวงตาของเขามืดสนิทดูน่าค้นหาและลึกซึ้ง
เสียงทุ้มต่ำของเขาชวนให้ลุ่มหลง “เย้นหว่าน มานอนกับฉันเถอะ”
นอน นอนกับเขา?
แก้มของเย้นหว่านมีสีแดงซ่านขึ้นในทันที หญิงสาวรู้สึกเขินมาก จนพูดตะกุกตะกักว่า
“ไม่ ไม่ได้หรอกนะ คุณ ร่างกายของคุณ ยังบาดเจ็บอยู่ ไม่ได้ ทำแบบนั้นไม่ได้…”
กว่าเย้นหว่านจะพูดทั้งประโยคนั้นจบได้ ใบหน้าสุดเขินอายของเธอก็สามารถต้มไข่ได้แล้ว
แย่จริง การพูดคุยเรื่องนี้เงียบ ๆ กลางดึกสงัดจะทำให้เธออับอายจนแทบบ้า
โห้หลีเฉินจ้องมองตรงท่าทีเขินอายของเธอ ครู่หนึ่งเขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“สาวลามก ฉันแค่อยากให้คุณนอนข้างฉัน ไม่ได้ขอให้คุณทำเรื่องนั้นกับฉัน”
เมื่อเย้นหว่านได้ยินเช่นนี้ ก็นิ่งงันในทันที พลางรู้สึกว่าทั้งใบหน้าของตนเองกำลังร้อนแทบไหม้ขึ้นมา
เธอ เธอ เธอ กำลังคิดถึงอะไรล่ะ?
แล้วยังพูดออกไป?
เธออยากจะมองหาเต้าหู้สักชิ้นมาตีให้ตาย กลัวว่าจะเป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเวลานี้
“ฉัน ฉันจะไม่นอนแล้ว ฉันจะกลับห้องแล้ว”
ถ้าอย่างนั้นเธอก็ปลุกป่ายฉีจากเตียงแล้วให้เขามาดูแลทางนี้เถอะ
กลางดึกอย่างนี้ เธอไม่สามารถจะต้านทานโห้หลีเฉินได้เลย
แต่เมื่อเธอกำลังจะลุกขึ้นนั้น แต่มือของเธอกลับถูกดึงไป ในที่สุดร่างของเธอก็กดลงอย่างช้า ๆ และริมฝีปากของเธอก็ปิดทับริมฝีปากของโห้หลีเฉินอย่างอัตโนมัติ
มันค่อนข้างเย็น แต่ยังนุ่มนวลจนทำให้แทบหายใจไม่ออก
เย้นหว่านนิ่งไป เธอไม่อยากทำอย่างนั้นกับโห้หลีเฉินจริง ๆ นะ ถ้าเธอบอกว่าเธอถูกบังคับ จะมีใครเชื่อไหม?
เธอกำลังจะลุกขึ้นด้วยความอับอาย แต่ในเวลานั้นมือใหญ่ก็กดลงมาที่ท้ายทอยของเธอ ริมฝีปากบางแนบขึ้นมากลายเป็นจูบอันดุดันร้อนแรงในทันใด
เหมือนพายุฝนโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรง ในทันใดนั้นก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเพราะความรุนแรง
เย้นหว่านจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลามากของชายหนุ่มตรงหน้า พลันรู้สึกถึงการประสานระหว่างริมฝีปากและฟัน สมองที่ไร้แรงต้านทานจนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว
จูบนั้นลึกล้ำและน่าลุ่มหลง
ราวกับว่าจิตวิญญาณของเธอทั้งหมดถูกดึงดูดไปจนหมดสิ้น เธอไม่สามารถคิดอะไร และจมดิ่งในภวังค์
จนกระทั่งเย้นหว่านไม่รู้ด้วยว่าตัวเองนอนบนเตียงนั้นเมื่อไหร่ เธอไม่รู้อะไรทั้งนั้น