“ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย” เธอพูดอย่างขมขื่น “ครั้งนี้มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับเย้นหว่าน ก็เลยต้องมาหาพวกคุณ เย้นโม่หลินสำหรับฉันแล้วเป็นแค่พี่ชายคนสนิทเท่านั้นเอง”
“แค่นั้นเองเหรอ” ป่ายฉีถาม
กู้จื่อเฟยกำหมัดและพูดทีละคำอย่างแน่วแน่ว่า
“ก็แค่นั้นแหละ”
เมื่อเจอเข้ากับท่าที่แน่วแน่ของกู้จื่อเฟย ป่ายฉีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกังวลใจแทนคนบางคน
ดูเหมือนว่ากู้จื่อเฟยได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เหมือนกับว่าคนบางคนนั้นยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ป่ายฉีคิดอยู่ครู่หนึ่งและได้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ทันใดนั้นเขาก็ได้วางมือบนบ่าของกู้จื่อเฟย
และพูดอย่างขี้เล่นว่า “ในเมื่อคุณกับคุณเย้นโม่หลินคงจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน สิ่งที่เขาชดใช้กับสิ่งที่คุณชดใช้ก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง เครื่องมือของผมนั้นเป็นของล้ำค่า คุณจ่ายไม่ไหวหรอก เปลี่ยนเป็นวิธีอื่นเถอะ
ถือเสียว่าคุณติดผมอยู่หนึ่งเงื่อนไข รอให้ผมคิดได้ตอนไหน คุณค่อยมาชดใช้ผมก็แล้วกัน”
หนึ่งเงื่อนไข?
กู้จื่อเฟยมองไปที่ผู้ชายตรงหน้าเขาด้วยความระมัดระวัง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยแผนร้ายราวกับใบหน้าของสุนัขจิ้งจอก
จริงๆ แล้วเธอปฏิเสธตามสัญชาตญาณ แต่มือที่วางอยู่บนบ่านั้นดูเหมือนจะวางไว้อย่างนุ่มนวลแต่กลับมีพลังบางอย่างที่มีอำนาจมาก
เพียงแค่เธอพยายามที่จะดิ้นให้หลุด กระดูกของเธอก็อาจจะถูกบีบให้แตกได้
นี่ก็แค่คนหน้าเนื้อใจเสือที่ใช้อำนาจคุกคามเธออย่างชัดเจน
เมื่อเห็นว่ากู้จื่อเฟยนั้นเกิดความลังเล ป่ายฉียิ้มและได้เข้าไปใกล้เธอกว่าเดิม
เสียงทุ้มๆ ท่าทีขี้เล่นและอันตรายนั้น “คุณกู้จะเบี้ยวหนี้เหรอครับ?”
ทันใดนั้นกู้จื่อเฟยก็ได้รู้สึกถึงลมหนาวยะเยือกที่พัดมาเป็นระยะๆ
เธอน่าจะพอรู้อยู่บ้าง รูปลักษณ์ภายนอกของป่ายฉีที่ไม่ได้ดูเหมือนจะร้ายกาจขนาดนั้น ถึงแม้ความเป็นจริงแล้วจะดูดื้อด้านและโหดร้ายก็ตาม
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนสนิทของเย้นหว่าน ป่ายฉีก็ยังเป็นกังวลอยู่ แต่ด้วยอารมณ์ของเขาบวกกับกับความใจร้ายต่อเธอ บางทีสักวันหนึ่งเขาคิดไม่ออกขึ้นมาก็อาจจะลงไม้ลงมือกับเธอได้
ถึงตอนนั้นแล้วเธออาจจะตายโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
กู้จื่อเฟยรู้สึกเหน็บหนาวจนต้องกัดฟันและพยักหน้าเพื่อตอบคำถาม
“เพียงแค่มันไม่เป็นการผิดกฎหมายร้ายแรง ไม่เป็นคำขอที่เกินไป เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ฉันก็จะทำ”
พูดเงื่อนไขที่จำกัดขอบเขตไป แต่กลับคิดว่า ป่ายฉีนั้นจะตกลงอย่างง่ายดาย
“ได้ คำไหนคำนั้น”
เขาได้มองเธอด้วยท่าทีที่ขี้เล่นพร้อมร้อยยิ้มมุมปากราวกับสุนัขจิ้งจอกที่ทำแผนร้ายสำเร็จ
สิ่งที่เขาอยากให้เธอทำไม่ใช่สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลหรือมากเกินไปและเขามองข้ามต่อคำขอของเธอโดยสิ้นเชิง
กู้จื่อเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเผชิญหน้ากับเขา
และรู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นตกหลุมพรางโดยไม่ได้ระวัง
ในเวลานี้ ที่มุมหนึ่ง ดวงตาคู่หนึ่งก็แอบเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองคน
เมื่อมองจากมุมของเขาก็จะเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของชายหนุ่ม และกู้จื่อเฟยนั้นแทบจะเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาแบบชิดใกล้
“เสี่ยวหวาง ผู้ชายคนนั้นคือใคร? เป็นอะไรกับเฟยเฟย ทำไมฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อน?”
ดวงตาของกู้หรงเป็นประกายและเต็มไปด้วยความปลื้มใจ
เดิมทีได้ยินมาว่าจะมีแขกมาที่บ้าน ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ได้ออกมาต้อนรับและทักทาย แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับฉากเดือดขนาดนี้เข้า
ลูกสาวของตัวเองที่เป็นโสด แท้ที่จริงแล้วก็มีแฟนแล้วนี่เอง
หนุ่มคนนี้หน้าตาหล่อเหลา นิสัยดี เป็นคู่ชีวิตที่ดีจริงๆ
ป้าหวางยืนเคียงข้างและตอบด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเพื่อนที่มากับเสี่ยวหว่าน มางานวันเกิดคุณโดยเฉพาะเลย เสี่ยวหว่านรู้ดีว่างานวันเกิดของคุณคือการหาสามีให้จื่อเฟย ชายหนุ่มที่พามาที่นี่ด้วย ก็ต้องแนะนำให้จื่อเฟยรู้จักแน่นอน
เสี่ยวหว่านกับคุณโห้อยู่ด้วยกัน ฐานะก็ดี คนที่เขาพามาด้วย ต้องมีภูมิหลังและนิสัยที่ดีมาก ไม่เช่นนั้นก็ไม่เหมาะกับจื่อเฟย”
กู้หรงมีความสุขมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เอาจากไหนมาแนะนำเนี่ย เห็นได้ชัดว่าเด็กสองคนนี้เคยเจอกันมาก่อน อยู่ด้วยกันมาก่อนแล้ว
เกรงว่าวันนี้จะต้องแต่งเข้าบ้านคนอื่นจึงแนะนำให้พ่อคนนี้รู้จัก
“เอาล่ะ เยี่ยมเลย เรื่องสำคัญในชีวิตของลูกสาวของฉัน ในที่สุดก็เป็นหน้าที่ของใครคนหนึ่งแล้ว”
ป้าหวางมองดูความโล่งใจของคุณท่านของเธอ และเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดแขวะว่า “คุณท่าน ทำไมสีหน้าคุณท่านถึงดูเหมือนกับว่าจื่อเฟยจะไม่สามารถแต่งงานได้ล่ะคะ? เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะขึ้นคานสักหน่อย เธอก็โดนหนุ่มหล่อมากมายตามจีบนะคะ”
“มีคนจีบแล้วยังไงล่ะ หล่อนไม่มีความรัก ก็ต้องขึ้นคานไปจนแก่”
ยิ่งกู้หรงมองป่ายฉีมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกปลื้มใจมากขึ้นเท่านั้น “เด็กหนุ่มคนนี้ดีจริงๆ แม้แต่ยัยเด็กแก่นของบ้านเราก็กำราบได้ ถ้ามีโอกาสก็ถามเขาได้เลยว่าชื่ออะไรสกุลอะไร ลูกหลานบ้านไหน ครอบครัวเขามีกี่คน…”
“คุณท่าน คุณท่าน” ป้าหวางรีบทักให้เขาหยุด “คุณท่านไปถามเขาแบบนี้ จื่อเฟยรู้แล้วก็จะไม่ตื่นเต้นเอานะคะ”
“ก็จริง ทำให้เด็กหนุ่มที่นิสัยดีขนาดนี้ตกใจวิ่งหนีไป เดี๋ยวจะไม่คุ้มเอา”
กู้หรงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ประเด็นที่เห็นด้วยแตกต่างไปจากป้าหวางอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้าของป้าหวางหมดหวัง
เสื้อผ้าสองราวได้ส่งไปยังห้องของจื่อเฟยหลังจากนั้น
เนื่องจากทั้งสองคนอยู่ในห้อง และไม่ได้ให้สาวใช้เข้ามาช่วย ทั้งสองจึงได้ช่วยกันแต่งตัวอยู่ในห้อง
เย้นหว่านและกู้จื่อเฟยต่างก็เลือกชุดที่ตัวเองชื่นชอบ
เย้นหว่านได้เลือกกระโปรงสีฟ้าอ่อนและมีเพชรประดับห้อยลงมาซึ่งดูเหมือนท้องฟ้าที่ประดับไปด้วยดวงดาวที่เป็นประกาย
ดูสวยงามและสง่าเหมาะกับอุปนิสัยของเธอ
กู้จื่อเฟยมองดูเสื้อผ้าบนราวแขวน สายตาไปหยุดอยู่ที่กระโปรงยาวสีแดงอยู่นาน แต่ในที่สุดก็หยิบกระโปรงสีเทาเงินมาหนึ่งตัว
กระโปรงทรงนี้สวยมากแต่ในกลับให้ความรู้สึกว่าเป็นสีที่ค่อนข้างธรรมดา
เย้นหว่านมองไปที่กู้จื่อเฟยอย่างสงสัย “ทำไมไม่ใส่ชุดสีแดงนั่นล่ะ สีแดงนั่นเหมาะกับเธอมากกว่านะ”
เมื่อก่อนนิสัยของ กู้จื่อเฟยนั้นค่อนข้างเปิดเผยและน่ารักสดใส ชอบใส่เสื้อผ้าสีสดใสเมื่อไปงานเลี้ยง ซึ่งสีแดงเหมาะกับเธอมากที่สุด
มือของกู้จื่อเฟยที่ถือกระโปรงสีเทาเงินอย่างแข็งทื่อพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูฝืนและไม่เต็มใจ
และแกล้งพูดอย่างผ่อนคลายว่า “สีแดงมันฉูดฉาดเกินไป ตอนนี้ฉันชอบสีพื้นๆ เรียบๆ มากกว่า”
อีกทั้งยังไม่สะดุดตาและไม่ดึงดูดสายตา
“จื่อเฟย”
เย้นหว่านก้าวไปข้างหน้าและจับมือกู้จื่อเฟยเอาไว้แน่น “เธอสบายดีไหม? พี่ชายของฉันอยู่ที่นี่ … ”
“ไม่เป็นไรเลย ฉันสบายมาก”
กู้จื่อเฟยหัวเราะและพูดแทรกขึ้น “ผ่านมาตั้งนานแล้ว จิตใจของฉันดีขึ้นแล้ว ถึงจะเคยเสียใจมาก่อน แต่ก็ออกมาได้แล้ว
ตอนนี้มันไม่มีผลอะไรต่อฉันแล้ว ยังเป็นพี่ชายสุดหล่อล่ะนะ
เผชิญกับคุณชายเย้นตอนนี้ ความรู้สึกก็ยังสงบนิ่ง แค่ปฏิบัติต่อกันเหมือนเพื่อนธรรมดา ฉันไม่รู้สึกเศร้าอะไรแล้ว คุณสามารถวางใจได้ ”
เวลาเพียงแค่สามเดือน เพียงพอให้เธอละทิ้งความรู้สึกได้จริงเหรอ ?
เย้นหว่านไม่แน่ใจ เธอรู้แค่เพียงว่าให้ลืมโห้หลีเฉินและอยู่กับเขาได้แบบสงบสุขให้ได้ภายในสามเดือน เธอทำไม่ได้
หลังจากเลิกกับโห้หลีเฉินเธออาจจะไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ไปชั่วชีวิต
แต่จื่อเฟยอาจแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง หรือบางทีนิสัยของเธอ เดิมทีเธออาจจะแค่เล่นเกมอยู่ก็ได้