“ผมไม่อยาก พวกคุณทานกันให้อร่อย”
พูดจบเย้นโม่หลินก็สีหน้านิ่งขรึม ก้าวขาเดินจากไป
เงาหลังที่สูงใหญ่ราวกับว่าห่อหุ้มไปด้วยความเหี้ยมโหดอันตรายที่ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก ทำให้อุณหภูมิบริเวณโดยรอบติดลบ
ถึงขนาดที่เย้นหว่านถึงกับตัวสั่น
สองวันนี้ อารมณ์ของเย้นโม่หลินผันผวนแปรปรวนอยู่ไม่น้อย เขาเป็นอะไรกันแน่?
โห้หลีเฉินมองเงาหลังของเย้นโม่หลินอย่างสุขุมรอบคอบ ชักมุมปากเบาๆ ก่อนจะคีบอาหารไปใส่ไว้ในถ้วยของเย้นหว่านด้วยความนิ่งเฉยสง่างาม
กู้หรงมองเย้นหว่านพร้อมกับพูดถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“เสี่ยวหว่าน พี่ชายของเธอไม่กินข้าวกินปลา ไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหม?”
ทำตัวดื้อรั้นในบ้านของคนอื่น เย้นหว่านก็รู้สึกอึดอัดเกรงใจอยู่บ้าง
เธอรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ไม่เป็นอะไรค่ะ พี่ชายของหนูคงจะมีเรื่องที่ต้องรีบไปทำ ไม่ต้องไปสนเขาหรอกค่ะ พวกเรากินกันเถอะ”
กู้หรงหันมองเงาหลังของเย้นโม่หลินที่จะหายลับไปจนมองไม่เห็นแล้วอีกครั้ง ทำได้แค่ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง
ผู้ชายคนนี้ฉลาดหลักแหลมสุดๆ ความสามารถเป็นเลิศ ต่อให้เป็นเขาก็ก้มหัวให้โดยสัญชาตญาณแน่นอน แต่ยิ่งยืนอยู่สูงเท่าไร นิสัยก็จะยิ่งไม่ดีขึ้นเท่านั้น ยากที่จะเข้าหา มีปฏิสัมพันธ์ด้วย
โชคดี โชคดีที่คนที่จื่อเฟยชอบถูกชะตาก็คือป่ายฉี ไม่ใช่เย้นโม่หลินที่อยู่สูงเกินเอื้อม
ไม่อย่างนั้นผู้ชายแบบนี้ ไม่มีใครเอาเขาอยู่หรอก
“ใช่แล้ว เมื่อตะกี้ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะ? จู่ๆก็พูดชื่นชมป่ายฉีทำไม?”
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินด้วยความสงสัย พร้อมกับพูดถามขึ้นด้วยเสียงเบาๆ
โห้หลีเฉินเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบพูดคุยโต้ตอบกับคนอื่น แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะไปชื่นชมคนอื่นตามอำเภอใจด้วย
คำพูดที่เขาพูดออกมา ต้องมีจุดประสงค์อย่างแน่นอน
จุดประสงค์ที่ตอนนี้เย้นหว่านยังคิดไม่ออก แอบรู้สึกว่าที่จู่ๆเย้นโม่หลินเดินหนีไปด้วยความโมโหแบบนั้น มันมีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวพันอะไรกันอยู่
โห้หลีเฉินขยี้ผมของเย้นหว่าน พร้อมกับพูดยิ้มๆ
“เดี๋ยวกลับไปคุณก็รู้เอง รีบกินข้าวเถอะ เย็นหมดแล้ว”
พูดพลาง เขาก็คีบกับข้าวใส่ไว้ในถ้วยของเธอไปอีกหลายอย่าง
ไม่ทันได้สังเกต เย้นหว่านก็พบว่าในถ้วยของตัวเองมีแต่กับข้าวที่ตนเองชอบกองพูนอยู่เต็มไปหมดแล้ว
เย้นหว่านมองดู เธอทำได้แค่ก้มหน้าก้มตากินแต่โดยดี
ถ้าโห้หลีเฉินไม่คิดที่จะบอก เธอถามไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเขาบอกมาว่ากลับไปเดี๋ยวก็รู้เอง ถ้าอย่างนั้นเธอก็รออีกสักหน่อยแล้วกัน
ถึงยังไงโห้หลีเฉินเวลาทำอะไร มักจะมีเหตุผลและจุดประสงค์ของเขาอยู่ตลอด
เธอเชื่อเขา
ผู้คนจึงเริ่มทานข้าวกันเรื่อยๆ ทว่าเว้นแต่โห้หลีเฉินคนเดียวที่ทำตัวปกติ คนอื่นๆ ล้วนดูเหมือนกินไม่ลง
ต่างคนต่างคิดอะไรอยู่
กู้จื่อเฟยหันมองไปยังทางที่เย้นโม่หลินเดินจากไปเป็นระยะๆ ในใจเหมือนกับเส้นด้ายที่พันกันไปมาจนยุ่งเหยิงไปหมด ตัดไม่ขาด ว้าวุ่นอยู่ในใจ
เมื่อตะกี้เห็นๆอยู่ว่าพ่อของเธอจะจับเธอกับป่ายฉีคู่กัน แล้วทำไมเย้นโม่หลินถึงต้องจากไปด้วยสีหน้าเย็นชาแบบนั้นพอดีเลยด้วยล่ะ?
เขาไม่มีอารมณ์ที่จะมาฟังคนอื่นคุยเรื่องสัพเพเหระ หรือว่าอะไร……
ในใจเธอเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แต่ไม่กล้าคาดเดา
ป่ายฉีไม่มีความอยากอาหาร คีบอาหารก็ไม่มีกะจิตกะใจใส่เข้าไปในปากตัวเอง
เขารู้สึกว่า ชีวิตนี้ของเขาตกอยู่ในอันตรายแล้ว
ไปก้าวก่ายทำให้เย้นโม่หลินไม่สบอารมณ์เข้าแล้ว กลายเป็นศัตรูทางหัวใจของเขาไปโดยไม่รู้ตัว
คุณชายคนนั้นอาจจะยังไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงโกรธ ถึงยังไงก็เห็นเขารู้สึกไม่สบอารมณ์แล้ว สถานการณ์แบบนี้ ป่ายฉีไม่มีแม้แต่หนทางจะพูดอธิบาย ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น
น่าสังเวชใจเหลือเกิน
เขาจะหนีไปดีไหม?
ช่วงเวลาทานอาหาร ในตอนนี้เอง เว่ยชีเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบร้อน
มายืนอยู่ข้างๆโห้หลีเฉินด้วยความเคารพนอบน้อม ก่อนจะพูดรายงาน
“คุณชายครับ ฝู้เหวยข่ายเริ่มลงมือแล้วครับ บริษัทเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
เย้นหว่านวางตะเกียบลงอย่างแรง เงยหน้าขึ้นมามองเว่ยชี พูดถามขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน
“เกิดเรื่องขึ้น? ร้ายแรงไหม?”
เรื่องที่เกี่ยวกับโห้หลีเฉิน เธอเคร่งเครียดมากกว่าใคร
โห้หลีเฉินมองเย้นหว่านด้วยสายตาอ่อนโยน แววตาแฝงไปด้วยความรักเอ็นดูและอบอุ่น
ก่อนจะหันไปพูดสั่งเว่ยชีอย่างรวดเร็ว“ว่ามาเลย”
เจตนาที่อยู่ในคำพูด ก็คือให้เขาพูดรายงานอย่างละเอียด ณ ตรงนี้เลย
เรื่องที่เป็นความลับทางธุรกิจแบบนี้ ปกติแล้วจะให้คนนอกได้ยินได้รับรู้ไม่ได้ แถมคนนอกที่อยู่ตรงนี้ ก็อยู่กันตั้งอย่างน้อยสามคน
แถมกู้หรงเป็นนักธุรกิจคนอื่นที่อยู่ในเมืองเดียวกันด้วย ยิ่งต้องหลีกเลี่ยงเข้าไปอีก
แต่ว่า ในเมื่อโห้หลีเฉินพูดสั่งออกมาแล้ว เว่ยชีก็ทำได้แค่ต้องพูดรายงานออกไป
ในช่วงบ่าย จู่ๆตลาดการเงินก็มีพวกคนร้ายปรากฏตัวขึ้นมา ใช้วิธีการที่ต่างคนต่างเสียหายกันทั้งคู่ในการจัดการโจมตีโห้ถิงกรุ๊ป
เนื่องจากเป็นสงครามทางธุรกิจ บวกเข้ากับไม่ได้มีการเตรียมมาตรการรับมือก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น ทำให้สถานการณ์มันแย่มาก เกิดความสูญเสียอย่างหนักในชั่วพริบตา แต่นี่มันก็เป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
เว่ยชีเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนที่คนร้ายนั่นลงมือ จึงเริ่มสืบหาเบาะแสทันที สืบหาจนเจอบริษัทเล็กๆที่ฝู้เหวยข่ายเป็นคนควบคุมจัดการอยู่
ทำการตรวจสอบเชิงลึก ก็รู้ว่าบริษัทนั้นก่อตั้งอยู่ที่เมืองหนานมาเมื่อหลายปีก่อน แอบดำเนินการพัฒนาอย่างโปร่งใสมาโดยตลอด ดูเสถียรมั่นคง ไม่ขาดทุนแล้วก็ไม่ได้กำไรมากมาย เหมือนกับบริษัททั่วๆไป
แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว บริษัทนี้คงจะกลายเป็นสายตาที่คอยสอดแนมให้กับฝู้เหวยข่ายที่อยู่ที่เมืองหนานแล้ว
“แม้ว่าจะตรวจเจอบริษัทนี้ แต่เพราะว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของมันบริสุทธิ์ บวกเข้ากับเงินทุนจำนวนมากมายล้วนแต่มาจากบัญชีของฝู้เหวยข่ายทั้งนั้น ทำให้ตอนนี้ยังตรวจหาเบาะแสที่อยู่เบื้องหลังของฝู้เหวยข่ายไม่พบ”
“เหอะ ใช้เงินของตัวเองมาจัดการอย่างนั้นเหรอ?”
โห้หลีเฉินยิ้มอย่างเย้ยหยัน“ถ้าอย่างนั้นก็จะให้มันเล่นต่อไป จะดูซิว่าเงินจำนวนเท่านั้นของมัน จะสามารถทำให้โห้ถิงเสียหายถึงขั้นไหนกัน”
เว่ยชีสีหน้าขยับเล็กน้อย รู้สึกลังเล แต่ยังพยักหน้าตอบรับอยู่
เย้นหว่านกลับเปิดปากพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
“วิธีการแบบนี้ โห้ถิงก็จะเสียหายอย่างหนักเหมือนกัน ต่างคนต่างก็เสียหายกันทั้งคู่นะ มันต้องแลกมาด้วยราคาที่มันมากเกินไปหรือเปล่า?”
อีกอย่างการที่ฝู้เหวยข่ายกล้าใช้เงินของตัวเองมาโจมตีผู้ทรงอำนาจของเมืองหนานแบบนี้ นั่นก็เพียงพอจะรับประกันได้แล้วว่า เงินของเขาอาจจะพอที่จะทำให้คนเคียดแค้นและหวาดกลัวได้
ในเมื่อมีความมั่นใจในการลงมือแล้ว เป็นไปได้สูงว่าจะทำให้โห้ถิงเสียหายอย่างหนักได้
แม้ว่าโห้หลีเฉินจะเป็นประธานของโห้ถิง แต่เบื้องล่างก็มีผู้ถือหุ้นอยู่มากมาย ไหนจะพี่น้องในตระกูลที่จ้องพร้อมจะตะครุบดั่งพญาเสืออีก
ถ้าเขาทำผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ จะมีคนอีกจำนวนมากที่รอซ้ำเติม หาเรื่องมาข่มขู่ทำให้เขายิ่งยากลำบากมากขึ้น
เย้นหว่านไม่อยากให้โห้หลีเฉินต้องจ่ายราคาที่สูงขนาดนี้ไปกับเรื่องไร้สาระพวกนี้
“นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุด”
โห้หลีเฉินยื่นมือออกไปโอบไหล่ของเย้นหว่านเอาไว้ พูดขึ้นอย่างขี้เล่น“ตอนนี้เริ่มเป็นห่วงเป็นใยเงินของผมแล้วเหรอ?”
ความหมายนั้น มันคลุมเครือจนทำให้เธอหน้าแดง
เย้นหว่านผลักเขาออกด้วยความเขินอาย“ฉันพูดจริงจังนะ”
กู้หรงพอได้ฟังเรื่องราว ก็ขมวดคิ้วพูดขึ้น
“คุณโห้ ที่คุณจงใจให้ฝู้เหวยข่ายโจมตีมาขนาดนี้แล้ว ก็เพื่อทำให้เขายิ่งแย่ลงเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็จะควักทรัพย์สินเงินทองออกมาจนหมดตัว?”
นี่มันเป็นเจตจำนงของนักพนัน ยิ่งแพ้หมดตัวเท่าไร ก็จะยิ่งไม่ยอมปล่อยวางเท่านั้น ถ้าตอนที่เงินของเขาใช้ไปจนหมดแล้ว แต่โห้ถิงกลับยังคงยืนหยัดอยู่ต่อได้ จะต้องทำให้เขายิ่งทวีความโกรธมากขึ้นอีกแน่นอน
แล้วความโกรธแค้นนั้น ก็เหลือแค่อำนาจอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังเขาเท่านั้นแล้ว
ถ้าเกิดอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของฝู้เหวยข่ายเริ่มลงมือล่ะก็ จากการเคลื่อนไหวการกระทำที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่าเขาเป็นคนของตระกูลไหน อยู่ที่เมืองอะไรได้อย่างแน่นอน
ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนแล้ว ก็สามารถลงมือได้เลย
โห้หลีเฉินพยักหน้าปิดปากเงียบไม่พูดอะไร
แต่คิ้วของกู้หรงยังขมวดอยู่ ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความกังวล