“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง ลากเองได้ครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ทำตัวตามสบายได้เลย”
กู้หรงตบลงที่ไหล่ของป่ายฉีด้วยความพออกพอใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจอย่างปกปิดเอาไว้ไม่อยู่
สายตาที่ดีอกดีใจนั้น เหมือนกำลังมองลูกเขยในอนาคตของตัวเองอยู่
รอยยิ้มของป่ายฉีแทบจะหุบลงทันที เขารู้สึกเสียใจที่ตามมาด้วย ถ้ารู้มาก่อนก็คงจะขออยู่เฝ้าบ้านวิลล่าของตระกูลเย้นคนเดียว ไม่มาหาเรื่องกับพวกเขาก็ดีอยู่หรอก
ตอนนี้ ปัญหาก็เกิดแล้ว แถมยั่วยุให้คนเขาเกลียดชังแล้วด้วย
ไม่แน่ว่าในช่วงกลางดึกคืนนี้ อาจจะถูกใครสักคนฆ่าเพื่อระบายความโกรธแค้นก็เป็นได้
กู้จื่อเฟยมองท่าทีที่เสน่หาสนิทสนมของพ่อตัวเองที่มีต่อป่ายฉี เธอก็พูดไม่ออก แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงยังไงความสนใจของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่เย้นโม่หลิน ไม่อย่างนั้นกู้จื่อเฟยก็คงจะทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ
เธอเดินมาอยู่ตรงหน้าของเย้นหว่าน ยื่นมือออกมาคล้องแขนของเย้นหว่านเอาไว้
“เสี่ยวหว่าน ห้องของพวกเราฉันเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เข้าไปกันเถอะ”
กลุ่มผู้ชายกลุ่มใหญ่ แถมยังมีเย้นโม่หลินอยู่ด้วย กู้จื่อเฟยต้องรู้สึกอึดอัดแน่นอนอยู่แล้ว
เย้นหว่านเข้าใจดี จึงจูงมือกู้จื่อเฟย
ก่อนจะหันมาพูดกับโห้หลีเฉิน
“ไปกันเถอะ”
โห้หลีเฉินพยักหน้า เข็นกระเป๋าสองใบ เดินตามหลังเย้นหว่าน
ทั้งเนื้อทั้งตัวดูสูงส่งมีราศี ใบหน้าหล่อเหลา ทำเรื่องแบบนี้ แต่กลับดูเป็นธรรมชาติสุดๆ
เย้นหว่านมองเขาที่เป็นแบบนี้ ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา มีความรู้สึกเดจาวูเหมือนกำลังใช้ชีวิตแบบสามีภรรยาทั่วไปอย่างบอกไม่ถูก
กู้จื่อเฟยมองท่าทางเหม่อลอยของเย้นหว่าน ผลักเธออย่างยิ้มๆ
“อยู่ด้วยกันนานขนาดไหนแล้ว ยังมองไม่พออีกหรือไง ยังคลั่งไคล้ลุ่มหลงอยู่อีกนะ”
เย้นหว่านแก้มแดงขึ้นมา จูงเธอเดินไปข้างหน้าทันที“ถ้าคุณยังจะพูดไร้สาระอีก ฉันจะจั๊กจี้คุณนะ”
“เย้นหว่าน นี่คุณเขินอายจนโกรธเลยหรือไง”
“ฉันเปล่าสักหน่อย”
เย้นหว่านพูดเถียงอย่างเขินอาย กลัวว่าโห้หลีเฉินจะได้ยิน แล้วจะทำให้เธอยิ่งรู้สึกอึดอัด จึงยื่นมือออกมาจั๊กจี้กู้จื่อเฟยทันที
กู้จื่อเฟยบ้าจี้ ก็เลยปล่อยเธอแล้ววิ่งไปข้างหน้า
วิ่งไปพลาง ตะโกนหัวเราะออกมาพลาง“เสี่ยวหว่าน คุณเขินอายแล้ว คุณคลั่งไคล้ลุ่มหลงเข้าแล้วล่ะสิ”
“สงสัยคุณยังจั๊กจี้ไม่พอ อย่าให้ฉันจับได้นะ ฉันจะจั๊กจี้ให้ตายเลย”
เย้นหว่านวิ่งไล่ตามไปด้วยความอับอาย
ผู้หญิงทั้งสองคนวิ่งตะโกนโหวกเหวกเข้าไปในบ้านวิลล่าก่อน จากข้างในประตู ยังมีเสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวของพวกเธอดังออกมาอยู่
สายตาที่อบอุ่นของโห้หลีเฉินมองตรงไปยังข้างหน้า มุมปากยิ้มอย่างรักและเอ็นดู
เขาชอบมองเวลาเย้นหว่านเล่นเสียงดัง ชอบเวลาเธอยิ้ม
เย้นโม่หลินยืนเม้มริมฝีปากบางๆอยู่ข้างๆ ในใจที่ตอนแรกรู้สึกอึมครึมไม่ค่อยสุขใจ แต่เพราะเสียงหัวเราะของพวกเธอ ตอนนี้จึงรู้สึกเบิกบานขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ที่แท้เวลาผู้หญิงเล่นเสียงดังกันก็เป็นแบบนี้นี่เอง มันน่ารักอยู่ไม่น้อยเลย
เย้นหว่านกับกู้จื่อเฟยเล่นโหวกเหวกเสียงดังกันอยู่ ไม่นาน พวกของโห้หลีเฉินก็ลากกระเป๋าเข้ามา
กู้จื่อเฟยกำลังลากจูงเย้นหว่านอยู่ พอหันหน้าไป ก็สบตาเข้ากับเย้นโม่หลินเข้าพอดี
เขาลากกระเป๋าเดินทางยืนอยู่ตรงประตู ข้างหลังเป็นแสงที่ส่องสว่างจ้า ราวกับมีแสงสว่างแผ่ออกมาจากข้างหลังของเขา ดูตระการตา น่าหลงใหลสุดๆ
เย้นหว่านที่จูงกู้จื่อเฟยอยู่ พอเห็นเธอเหม่อลอย ก็มองตามเธอไป เห็นพี่ชายที่หล่อเหลาจนทั้งคนทั้งเทพเห็นแล้วต่างก็พากันอิจฉาของตัวเองคนนั้น
“กู้จื่อเฟย คุณคลั่งไคล้ลุ่มหลงเข้าแล้วสินะ”เย้นหว่านพูดยิ้มๆ
กู้จื่อเฟยดึงสติกลับมา แก้มร้อนผ่าวอย่างไม่รู้ตัว รีบปฏิเสธทันที
“คุณอย่ามาพูดอะไรไร้สาระ”
เธอปล่อยเย้นหว่านไปด้วยความตื่นตกใจ ยืนอยู่ข้างๆอย่างเชื่อฟังแต่โดยดี
ร่างกายเกร็งไปหมด ดูอึดอัดไม่เป็นตัวของตัวเอง
ตอนแรกเย้นหว่านอยากที่จะฉวยโอกาสนี้แก้แค้นที่เธอกลั่นแกล้งเธอเมื่อตะกี้ แต่พอเห็นท่าทางแบบนี้ของกู้จื่อเฟยแล้ว ยังไม่ทันจะพูดออกมา ก็หายไปหมดแล้ว
เธอลืมความสัมพันธ์ระหว่างกู้จื่อเฟยกับพี่ชายของเธอไปได้ยังไงเนี่ย
มันเป็นอดีตไปแล้ว
ถอนหายใจออกมาอยู่ภายในใจอย่างช่วยไม่ได้ เย้นหว่านก็ทำได้แค่แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดเปลี่ยนเรื่อง
“ห้องของพวกเราแบ่งกันอยู่ตรงไหนบ้างเหรอ?”
ห้องชั้นสอง ชั้นสามเป็นห้องเดี่ยวที่อยู่ตรงราวบันได เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นแล้ว
กู้จื่อเฟยก็ชี้นิ้วขึ้นไปยังห้องทั้งสามที่อยู่ชั้นสาม
“นี่เป็นห้องของคุณกับคุณโห้ ทางนี้เป็นห้องของป่ายฉีกับคุณชายเย้น”
ห้องของเย้นหว่านอยู่ข้างๆกู้จื่อเฟย ถัดมาเป็นห้องของป่ายฉี จากนั้นจึงเป็นห้องของเย้นโม่หลิน
เท่ากับว่า ห้องของเย้นโม่หลินอยู่ไกลที่สุดนั่นเอง
เย้นหว่านเข้าใจความคิดของกู้จื่อเฟย เพื่อลดการติดต่อปฏิสัมพันธ์กัน อยู่ให้ห่างกันสักหน่อย ก็เข้าใจได้
ขณะที่กำลังจะบอกว่าให้ยกกระเป๋าขึ้นข้างบนอยู่นั้น กู้หรงก็เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน
“ห้องจัดเตรียมได้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไรเลย”
บรรดาคนตรงนั้นพอได้ยินแบบนี้ ก็มองเขาด้วยความสงสัย
กู้หรงพูดต่อ“ห้องสามห้องจัดเตรียมไว้ให้อยู่ทางซ้ายทั้งหมดเลย จะออกมาขึ้นลิฟต์ก็ไกล ไม่ค่อยสะดวก แบบนี้สิ ป่ายฉีมาอยู่ห้องทางขวาก็ได้นะ”
ห้องเรียงต่อจากห้องของกู้จื่อเฟยทั้งหมด ห้องที่อยู่ซีกทางขวาห้องนั้น ก็คือห้องที่อยู่ติดทางขวาของห้องกู้จื่อเฟยนั่นเอง
ป่ายฉีที่เป็นคนกลาง จู่ๆถูกพูดถึงขึ้นมา ก็สีหน้าไม่ดีขึ้นมาทันที
ทำไมเขาต้องพักอยู่ห้องใกล้กับกู้จื่อเฟยคนเดียวด้วย?
มันดูคลุมเครือไปแล้วนะ!
ป่ายฉีรีบแสดงท่าทีปฏิเสธออกมาทันที“จริงๆผมชอบเดิน……”
“นายอยู่ข้างๆกู้จื่อเฟย ฉันจะได้วางใจลงได้ ตอนค่ำ นายจะได้ช่วยฉันดูแลกู้จื่อเฟยได้ยังไงล่ะ”
กู้หรง พูดอย่างหนักแน่น ท่าทีเข้มงวดสุดๆ
แต่เนื้อหาที่พูด กลับทำให้ผู้คนตรงนั้นสับสนวุ่นวายไม่น้อย
ดูแล? แถมดูแลตอนค่ำอีก? นั่นมันดูแลแบบไหนกันเนี่ย?
เย้นหว่านรู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหว มองกู้จื่อเฟยด้วยความเห็นอกเห็นใจ
กู้จื่อเฟยก็สีหน้าพูดไม่ออกเหมือนกัน พ่อของตัวเองนี่ช่างเปิดเผยเกินไปแล้ว แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะส่งเธอออกเรือนไปหรือไง?
แถมอีกฝั่งยังเป็นป่ายฉีอีกต่างหาก……
ถ้าพ่อรู้ว่าป่ายฉีเกือบจะฆ่าเธอ แถมยังข่มขู่เธออยู่ตลอดเวลาด้วยล่ะก็ อยากรู้จะว่าจะจัดแจงขนาดนี้อยู่อีกไหม
กู้จื่อเฟยกดตรงขมับ ตอนที่กำลังคิดจะพูดอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของ กู้หรงอยู่นั้น ข้างๆก็มีเสียงที่เย็นชาของผู้ชายดังขึ้นมา
“ครอบครัวผมเข้มงวด ชายกับหญิงควรจะแยกกัน พวกเราพักที่ชั้นสองดีกว่า ส่วนเสี่ยวหว่านกับกู้จื่อเฟยพักที่ชั้นสาม”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ ดูน่าเกรงขามแบบไม่กล้าปฏิเสธ
กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินด้วยความตกใจไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้
พักที่ชั้นสอง
จริงๆแล้วเขาไม่อยากพักอาศัยอยู่ชั้นเดียวกันกับเธออย่างนั้นเหรอ?
ก็ใช่ ผู้ชายที่เอาแต่ใจตัวเองไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นแบบเขา อยู่ในบ้านของเธอ มันคงจะทำให้เขารู้สึกอัดอึดอยู่ไม่น้อย
จู่ๆในใจก็ราวกับมีก้อนหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้ รู้สึกหดหู่ห่อเหี่ยว
กู้หรงพอได้ยินแบบนั้น ก็ขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย
ยังคงทะเยอทะยานไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่พอเห็นใบหน้าที่ดำมืดและบรรยากาศที่ไม่พึงประสงค์รอบตัวของเย้นโม่หลิน ทำให้เขาเงียบปากลงโดยสัญชาตญาณทันที
คุณชายคนนี้ ดูท่าแล้วคงจะอารมณ์ไม่ดี
เขาก็เป็นพี่ชายของเย้นหว่านด้วย พวกเขาเป็นแขก ก็ต้องเคารพความต้องการของเขา บวกเข้ากับ ได้ยินมาว่าแบล็คหลังของเขาก็ยิ่งใหญ่มากๆด้วย แถมยังดูนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร ทำตามเจตนาของเขาน่าจะเป็นผลดีมากกว่า
พอคิดถึงตรงนี้ กู้หรงจึงจำใจต้องล้มเลิกความคิดที่จะให้ป่ายฉีอยู่ใกล้กับกู้จื่อเฟยทิ้งไป
ดูท่าแล้ว ต้องคิดหาวิธีการอื่น ให้คู่หนุ่มสาวอยู่ใกล้กันซะแล้ว