กู้จื่อเฟยมองกู้หรงอย่างอึ้งตะลึง ถลึงสองตาโต
ป่ายฉีกับเย้นโม่หลิน?
เธออยากได้ทั้งสองคน?
อะไรกันเนี่ย?
อย่าว่าแต่สองคนเลย แค่คนเดียวเธอก็ยังเอาไม่ได้เลย
พอคิดถึงช่วงสองสามวันมานี้ที่กู้หรงโปรดปรานชื่นชอบป่ายฉี กู้จื่อเฟยก็แอบปวดหัว รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องพูดอธิบายกันดีๆสักหน่อยแล้ว
เธอพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน
“พ่อ พ่อเข้าใจผิดแล้ว ความสัมพันธ์ของหนูกับป่ายฉีเป็นแค่เพื่อนทั่วไปเท่านั้น”
“ลูกคิดว่าการที่ลูกพูดมาแบบนี้ แล้วพ่อจะเชื่ออย่างนั้นเหรอ?”
กู้หรงสีหน้าเข้มงวดจริงจัง ท่าทีแน่วแน่มั่นใจสุดๆ“ตอนนี้ลูกรีบไปตัดความสัมพันธ์กับเย้นโม่หลินซะ ไม่ว่ายังไง พ่อก็ไม่มีทางเห็นด้วยที่จะให้ลูกได้อยู่ด้วยกันกับเขาแน่นอน ป่ายฉีเป็นผู้ชายที่ดี พวกเราจะทำเรื่องที่ไม่ให้เกียรติเขาไม่ได้”
กู้จื่อเฟยโค้งมุมปากอย่างทนไม่ได้ รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
ตัดความสัมพันธ์? เธอกับเย้นโม่หลินแทบจะไม่มีความสัมพันธ์ที่ให้ตัดได้เลยสักนิด
ป่ายฉีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องขอโทษ เธอกับเขามันไม่มีอะไรที่เป็นไปได้เลย ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยแม้แต่น้อย
แต่พอเห็นท่าทางที่มั่นอกมั่นใจของพ่อตัวเองแล้ว กู้จื่อเฟยก็หมดหนทางจริงๆ
เธอพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง
“ไม่ว่าจะเป็นป่ายฉีหรือว่าเย้นโม่หลิน ก็เป็นมากสุดได้แค่เพื่อนเท่านั้นแหละค่ะ พ่อจะเชื่อไม่เชื่อ หนูกับพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว”
พอเห็นท่าทีที่กู้จื่อเฟยยังคงพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน มันทำให้กู้หรงยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อลูกสาวของตัวเอง แต่คำพูดของเธอมันไม่น่าเชื่อเลยสักนิดเดียว
ความสนิทสนมใกล้ชิดกันของเธอกับป่ายฉีในคืนนั้น เขาเห็นมันมากับตาตัวเอง ความคลุมเครือของเธอกับเย้นโม่หลินเมื่อตะกี้ เขาก็เห็นมากับตาตัวเองเหมือนกัน
ถ้าจะบอกว่าเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขา ต่อให้เขาจิ้มสองตาของตัวเองก็ไม่เชื่อ
กู้หรงพูดขึ้นอย่างเข้มงวดจริงจัง
“ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปนอนซะ ต่อไปห้ามลงมาข้างล่างคนเดียวอีก”
กู้จื่อเฟยรู้สึกหดหู่“หนูยังกินบะหมี่ไม่หมดเลย หนูต้องไปกินบะหมี่ก่อน”
“วันๆรู้จักแต่กินๆๆๆ ไม่แปลกที่อ้วนขนาดนี้ รีบไปนอนซะ ห้ามกินแล้ว”
กู้หรงพูดออกคำสั่งออกมาตรงๆ น้ำเสียงเข้มงวดไม่เว้นที่ให้ต่อรองใดๆ
คิดว่าเขาไม่รู้หรือไง ปากบอกว่าไปกินบะหมี่ แต่ความจริงแล้วจะไปหาเย้นโม่หลินล่ะสิ
เธอไม่ยอมละเลิกความพยายาม เขาก็จะไม่ให้โอกาสนี้กับเธอเหมือนกัน
แม้ว่าลูกสาวจะโตแล้ว แต่ปัญหาด้านหลักการปฏิบัติตัวแบบนี้ เขายังต้องเข้ามาสอนเข้ามายุ่งด้วยตัวเองอยู่
“พ่อ หนูหิว……”
“นอนหลับไปก็ไม่หิวแล้ว”
กู้หรงลากกู้จื่อเฟยตรงไปยังลิฟต์
กู้จื่อเฟยหมดอาลัยตายอยาก นี่มันไร้เหตุไร้ผลเกินไปแล้วนะ นี่เป็นคำพูดของพ่อแท้ๆอย่างนั้นเหรอ?
แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่เต็มใจอยู่มากมาย กู้จื่อเฟยก็ไม่สามารถล่วงละเมิดพ่อของตัวเองได้ ยอมถูกจับยัดเข้าไปในห้องนอน
กู้หรงยังยืนพูดเตือนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง
“ถ้าลูกกล้าแอบพ่อออกมา พ่อจะส่งลูกไปเรียนที่ต่างประเทศทันที”
กู้จื่อเฟย“……”เธอจบการศึกษามาหลายปีแล้ว ยังจะข่มขู่เธอแบบนี้อีก
เกินพอไปแล้วจริงๆ
แต่เธอก็ถูกข่มขู่ได้จริงๆ
แม้ว่าปกติแล้วกู้หรงจะดูเป็นกันเอง แต่ก็ยึดมั่นในกฎเกณฑ์หลักการอย่างมาก ถ้าเกิดตัดสินใจแล้ว ก็จะต้องทำให้ได้
ถ้าบอกว่าจะส่งเธอไปเรียนต่างประเทศ ก็จะทำจริงได้ภายในเวลาแค่แป๊บเดียวอย่างแน่นอน
รู้สึกอัดอั้นตันใจ กู้จื่อเฟยทำได้แค่อยู่ในห้องอย่างเชื่อฟัง
แต่ในใจของเธอกลับลอยออกไปแล้ว
ตอนนี้เย้นโม่หลินน่าจะยังกินบะหมี่อยู่ในห้องอาหาร บะหมี่ถ้วยนั้นไม่อร่อย แถมเขาก็เป็นคนที่จู้จี้จุกจิกเรื่องรสชาติอีก ไม่รู้ว่าจะกินลงไปได้ไหม
จริงๆแล้วเธอควรจะทำให้เขาใหม่ แต่ตอนนี้กลับถูกขังอยู่ในห้อง
เธอรู้สึกอารมณ์เสียและคับข้องใจมาก รู้สึกว่าเรื่องในคืนนี้มันช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำยังไงถึงจะติดต่อกับเย้นโม่หลินได้ บอกว่าเธอไม่ได้ไปที่ห้องอาหารแล้ว
การจากลาที่ไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ มันไร้มารยาทมากๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเย้นโม่หลินมันเยือกเย็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว กว่าจะได้เอาเรื่องที่ต้มบะหมี่กินกันตอนดึกนี้ มาทำให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันมีปฏิสัมพันธ์กันจะได้กลมกลืนกันสักหน่อยมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
แต่พอเป็นแบบนี้ มันก็จะกลายเป็นยิ่งรู้สึกอึดอัดกันมากกว่าเดิมไม่ใช่หรือไง?
กู้จื่อเฟยกำผมของตัวเองด้วยความหงุดหงิด
ลังเลว่าจะทำยังไงดี จะพูดขอโทษกับเย้นโม่หลินสักคำไหม?
หรือว่าอะไรดี
“ติ๊งต่อง”
ขณะที่กู้จื่อเฟยกำลังลังเลอยู่นั้น จู่ๆเสียงมือถือก็ดังขึ้นมา
มาจากกลุ่มในQQ
เย้นโม่หลิน:กู้จื่อเฟย คุณจะกินอีกไหม?
กู้จื่อเฟยมองข้อความในมือถือด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าเย้นโม่หลินจะถามเธอตรงๆแบบนี้
เห็นว่าเธอหายไปนานเกินไปแล้ว ก็เลยกำลังรอเธออย่างนั้นเหรอ?
เป็นอย่างที่คิดไว้เธอหนีกลับมาทั้งอย่างนี้มันไร้มารยาทจริงๆ
กู้จื่อเฟยจับมือถือกำลังจะพิมพ์เนื้อหาขอโทษ ในขณะนี้เอง หน้าจอก็มีข้อความเด้งขึ้นมาอีกหนึ่งข้อความ
เย้นโม่หลิน:บะหมี่จะเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวผมเอาไปส่งให้ที่ห้องของคุณแล้วกัน
กู้จื่อเฟยตกใจจนเหม่อลอยไป
คงไม่ใช่เพราะมันดึกเกินไป เธอรู้สึกเหนื่อยแล้ว ก็เลยเริ่มตาลายประสาทหลอน เห็นข้อความที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้หรอกนะ
เย้นโม่หลินจะมาส่งบะหมี่ให้ถึงห้องของเธอ นี่มันสิทธิพิเศษอะไรกัน? สิทธิของเทพอย่างนั้นเหรอ?
กู้จื่อเฟยขยี้ตาของตัวเองทันที แล้วมองหน้าจอมือถือเพื่อให้มั่นใจอีกครั้ง เห็นแบบจังๆแล้วว่าบนหน้าจอเป็นประโยคนั้นจริงๆ
เขาจะเอาบะหมี่มาให้เธอจริงๆ
กู้จื่อเฟยรู้สึกประหม่า ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะใช้นิ้วมือพิมพ์ออกไปหนึ่งคำอย่างแข็งทื่อ
กู้จื่อเฟย:ได้
แม้ว่าจะอยู่หน้าหน้าจอที่แสนเย็นชา แม้ว่าจะเป็นตัวอักษรที่ไร้ความรู้สึก เธอก็ราวกับใช้แรงทั้งหมดที่ตัวเองมีจนเกลี้ยง
จริงๆแล้ว ช็อกตกใจจนทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้
ไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
กู้จื่อเฟยนิ่งชะงักไป ก่อนจะดึงสติกลับมาทันที
เย้นโม่หลินมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
เธอรีบเดินตรงไปยังประตูอย่างรวดเร็ว เปิดประตูออก เป็นอย่างที่คิดไว้เห็นใบหน้าที่แสนหล่อเหลาใบหน้านั้นของผู้ชาย
ในมือของเขาถือถาดที่มีบะหมี่ถ้วยนั้นของเธอวางอยู่
กู้จื่อเฟยรู้สึกประหลาดใจที่ตนเองได้รับความรักและโปรดปราน รีบเข้าไปรับบะหมี่มาทันที“ขอบคุณนะ รบกวนคุณมาส่งแล้ว”
“ไม่เป็นไร”
เย้นโม่หลินสีหน้านิ่งเฉย ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่ปกติมากๆ
กู้จื่อเฟยถือบะหมี่อย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง ในใจตื่นตระหนก
เธอพูดอธิบายอย่างประหม่าและรีบร้อน
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะ พ่อของฉันคุยธุระกับฉัน ก็เลยต้องขึ้นมาข้างบน เอ่อคือเขา……บอกว่าถ้าฉันอ้วนอีกล่ะก็จะไม่ได้แต่งงาน ก็เลยไม่ให้ฉันกินมื้อดึก”
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองกู้จื่อเฟยด้วยสายตานิ่งๆ
พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ“อย่างคุณไม่มีทางที่จะไม่ได้แต่งงานหรอก”
“หา?”
กู้จื่อเฟนมองเย้นโม่หลินด้วยความประหลาดใจ คำพูดของเขา ทำให้เธออึ้งตะลึงสติล่องลอยไป
ท่าทีที่มั่นใจขนาดนี้ของเขาหมายความว่ายังไง?
ในแววตาของเย้นโม่หลินแฝงไปด้วยความอึดอัดไม่เป็นตัวของตัวเอง เม้มริมฝีปาก เปลี่ยนเรื่องพูดทันที
“กินแล้วก็รีบนอนซะ”
พูดจบ ก็หันตัวเดินจากไป
ท่าทางดูคล่องแคล่วว่องไว ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
กู้จื่อเฟยมองเงาหลังที่สูงใหญ่ของเขาอย่างอึ้งตะลึง อยู่ในสภาวะช็อกตกใจ
ข้างๆหู ราวกับมีคำพูดของเขาดังก้องไปมา
อย่างคุณไม่มีทางที่จะไม่ได้แต่งงานหรอก
คำพูดนี้ ดูเหมือนจะเป็นการปลอบใจ แต่กลับเหมือนคำสัญญาซะมากกว่า
มีแค่ระหว่างคู่รักเท่านั้นที่จะให้คำมั่นสัญญากับอีกฝั่งได้
เย้นโม่หลินไม่ได้มีเหตุผลที่จะต้องมาสัญญากับเธอ แต่ทำไมเขาถึงพูดขนาดนี้ล่ะ……
ใจของกู้จื่อเฟยเต้นไม่เป็นจังหวะ วุ่นวายยุ่งเหยิงไปหมด