ราวกับมีเปลวไฟจุดขึ้นมาในตอนนี้ แม้แต่อุณหภูมิในอากาศก็ร้อนระอุขึ้นมาไม่น้อย
กู้จื่อเฟยกินบะหมี่แล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมาพูด
“รสชาติไม่ดี ใส่เกลือเยอะเกินไป……”
ยังไม่ทันพูดจบ เธอก็หันไปสบตากับสายตาดำมืดของเย้นโม่หลินที่อยู่ใกล้กันมากอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ราวกับว่าตารู้สึกร้อนผ่าว เปลวไฟแผดเผามาถึงใจของเธอในทันที
เธอเพิ่งพบว่า เธอมัวแต่สนใจที่จะชิมรสชาติของบะหมี่ กลับลืมสังเกตระยะห่างว่าร่างกายของเธอเข้าไปใกล้มากเกินไป
แล้วระยะห่างเท่านี้ มันใกล้ซะจนทำให้เธอใจสั่น ร้อนผ่าวซะจนใจเตลิดเปิดเปิงไปหมด
“ฉัน ฉัน……”
กู้จื่อเฟยเปิดปากพูดด้วยความตื่นตกใจ แต่กลับเขินอายจนพูดออกมาไม่เป็นประโยค
เธอรีบถอยหลังกลับไปอย่างทันที เพิ่งจะได้ขยับ ข้อมือกลับถูกฝ่ามือใหญ่ของผู้ชายคว้าเอาไว้ก่อน
“อย่าขยับ”
เย้นโม่หลินมองกู้จื่อเฟยด้วยสายตานิ่งขรึม สายตาที่นิ่งลึกราวกับทะเลสาบที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง ที่กำลังจะดูดคนลงไป
ระหว่างที่พูด ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็เหมือนจะขยับเข้ามาข้างหน้า
กู้จื่อเฟยมองเขาอย่างอึ้งตะลึง รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เข้ามากระทบที่หน้าของตัวเอง รู้สึกตกใจซะจนใจหยุดเต้น
เขา เขาจะทำอะไร?
หัวสมองที่ตื่นตกใจของเธอว่างเปล่า เธออึ้งตะลึงไป
เวลาก็ราวกับว่าสูญหายไปแล้วในตอนนี้ ทุกอย่างในโลก ในสายตา มีเพียงแค่สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ตรงหน้านี้เท่านั้น
อากาศก็ร้อนอบอุ่นและหนาแน่นขึ้นมา
บรรยากาศกำลังพอดี
ในเวลานี้ เสียงตำหนิของผู้ชายกลับดังขึ้นมากะทันหัน“พวกลูกกำลังทำอะไร?!”
เหมือนกับฟ้าร้อง ทำให้เธอตกใจจนดึงวิญญาณที่ล่องลอยไปกลับคืนมาที่ตัว
กู้จื่อเฟยสลัดมือของเย้นโม่หลินออกอย่างแรง ถอยห่างออกมาด้วยความตื่นตกใจ สีหน้าแววตาสั่นไม่นิ่ง
เธอพูดตอบกลับไปด้วยความตื่นตกใจ“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
พูดพลาง ก็หันมองไปยังต้นตอของเสียง ก็เห็นกู้หรงที่กำลังสวมชุดนอนก้าวเท้าเดินตรงเข้ามาด้วยความประหลาดใจ
คิ้วขมวด สีหน้าเข้มงวดที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยๆ
พอนึกถึงภาพเมื่อตะกี้นี้ กู้จื่อเฟยก็ใจเต้นเร็วขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ รู้สึกว่าตัวเองอึดอัดสุดๆ
เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อกี้ขืนปล่อยต่อไปล่ะก็ ระหว่างเธอกับเย้นโม่หลินจะเกิดอะไรขึ้น?
“พ่อ พ่อมาได้ยังไง? พวกเรารู้สึกหิว ก็เลยกำลังกินมื้อดึกกันอยู่เลย พ่อจะกินสักหน่อยไหม?”
กู้หรงมองถ้วยบะหมี่ที่วางอยู่ตรงหน้าของพวกเขา สีหน้ากลับไม่ได้ดีขึ้นมาแม้แต่น้อย
เมื่อตะกี้เขาเห็นกับตาตัวเองแล้ว กู้จื่อเฟยกำลังกินบะหมี่ในถ้วยของเย้นโม่หลิน!
แถมทั้งสองคนก็ใกล้กันขนาดนั้น ใกล้ชิดกันแบบนั้น แทบจะจูบกันอยู่แล้ว
ถ้าเขาไม่มาล่ะก็ ไม่แน่ว่าหนุ่มสาวสองคนนี้อาจจะฉวยโอกาสในช่วงเวลาค่ำคืนที่เงียบสงัดแบบนี้ทำอะไรกันก็เป็นได้
แต่ กู้จื่อเฟยมีแฟนอยู่แล้ว จะทำแบบนี้กับเย้นโม่หลินได้ยังไงล่ะ!
ไม่ได้นะ!
กู้หรงเดินเข้ามา คว้าข้อมือของกู้จื่อเฟยเอาไว้ พร้อมกับพูดขึ้นอย่างเข้มงวดจริงจัง
“พ่อมีเรื่องจะคุยกับลูก ลูกตามพ่อมา”
พูดพลาง เขาก็จูงกู้จื่อเฟยกำลังจะเดินไป
กู้จื่อเฟยขัดขืนด้วยสัญชาตญาณ“หนูยังกินบะหมี่ไม่……”
“สิ่งที่พ่อจะพูดสำคัญกว่า”
กู้หรงจูงกู้จื่อเฟยออกไปโดยที่ไม่สนอะไรทั้งสิ้น
กู้จื่อเฟยสู้แรงของพ่อตัวเองได้ที่ไหน ถูกลากไปขนาดนั้น จึงทำได้แค่เดินตามไปเท่านั้น
ขณะที่กำลังวุ่นวายสับสนอยู่ เธอหันหัวกลับไปมอง ก็สบเข้ากับสายตาที่นิ่งลึกของเย้นโม่หลิน
เขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เม้มริมฝีปากบางๆ แววตาลึกราวกับน้ำวนที่พร้อมจะดูดกลืนคนเข้าไป จมดิ่งลงไปไม่สามารถหนีออกมาได้
คิ้วที่ดูดีนั้นขมวดอยู่เล็กน้อย
ถูกรบกวนอารมณ์ในการกินอาหาร ก็เลยรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างนั้นเหรอ?
กู้จื่อเฟยในใจอยู่ไม่สุข แล้วก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ากู้หรงที่ปกติแล้วจะสุภาพมีมารยาทมากๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คืนนี้ถึงได้ลากตัวเธอไปอย่างหยาบคายแบบนี้
ไม่แม้แต่จะพูดทักทายเย้นโม่หลินอย่างมีมารยาทเลยสักนิด
หรือว่า มีเรื่องที่สำคัญมากๆที่อยากจะพูดอย่างนั้นเหรอ?
พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ กู้จื่อเฟยก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย จึงยอมเดินตามกู้หรงไปแต่โดยดี
พอเป็นแบบนี้เธอก็จะได้ถอนหายใจออกมาได้อย่างสบายใจ หลีกเลี่ยงความรู้สึกอึดอัดเหมือนกัน
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตะกี้ เธอไม่รู้ว่าควรจะไปเจอหน้าเย้นโม่หลินยังไงจริงๆ บรรยากาศมันคลุมเครือมากพอที่จะทำให้คนคิดไปไกล
กู้หรงพากู้จื่อเฟยจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาแล้ว
เย้นโม่หลินยังคงนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ มองถ้วยบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตานิ่งๆ
ในถ้วยยังคงมีตะเกียบที่กู้จื่อเฟยคีบบะหมี่ที่กินเมื่อตะกี้เสียบเอาไว้อยู่
ในหัวของเขา มีภาพเมื่อตะกี้ลอยผ่านเข้ามาอย่างไม่ได้ตั้งใจ คิ้วที่ดูดีขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม
ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อตะกี้คิดที่จะทำอะไร ไปคว้ามือของกู้จื่อเฟย คิดอยากที่จะเข้าใกล้เธอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ……
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากู้หรงที่จู่ๆก็โผล่เข้ามา เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
จะต้องเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายแน่ๆ
เย้นโม่หลินรู้สึกซับซ้อนในใจ รู้สึกเหมือนมีเรื่องอะไร ราวกับว่าแอบสูญเสียการควบคุมอย่างเงียบๆ
เขาแทบจะอธิบายพฤติกรรมแปลกประหลาดและอารมณ์ความรู้สึกที่จู่ๆก็ชัดเจนรุนแรงขึ้นมาของตัวเองไม่ได้เลย
กู้หรงพากู้จื่อเฟยเดินออกมาไกลมาก
หลังจากมาถึงตรงทางเดินที่เงียบสงบไร้ซึ่งผู้คนแล้ว กู้หรงจึงหยุดลง จ้องมองกู้จื่อเฟยด้วยสีหน้าเข้มงวด
กู้จื่อเฟยถูกมองจน เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ พูดถามขึ้นอย่างใจเต้น
“พ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
กู้หรงขมวดคิ้ว พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ“คำถามนี้ พ่อน่าจะเป็นคนถามลูกมากกว่านะ”
กู้จื่อเฟยสีหน้าอึ้งตะลึง
หมายความว่ายังไง? ไม่เข้าใจเลยสักนิด
เธอพูดขึ้นอย่างหดหู่“หนูไม่รู้ว่าพ่อกำลังพูดอะไรอยู่ พ่อช่วยอธิบายหน่อยสิ”
“ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกนะ”
กู้หรงรู้สึกโกรธแทบจะไม่ไหวแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเขาถึงเลี้ยงลูกสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวขนาดนี้ได้ยังไง
ไม่แปลกที่หลายปีมานี้แม้ว่าเธอจะเติบโตมาอย่างดี ทางบ้านก็ไม่มีปัญหาอะไรขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้แต่งงานสักที
ที่แท้เด็กคนนี้ก็มีปัญหาใหญ่นี้เอง
ถ้าไม่ใช่คืนนี้เขานอนไม่หลับ ออกมาเดินเล่น ก็คงจะไม่รู้เรื่องที่กู้จื่อเฟยกับเย้นโม่หลินแอบออกมาทำกันอย่างลับๆแน่นอน
“จื่อเฟย ลูกไม่มีแม่ตั้งแต่ยังเด็ก พ่อรักเอ็นดูลูกมาตลอด แต่พวกกฎหลักการพื้นของการเป็นมนุษย์ที่ควรจะมี พ่อก็คอยสั่งคอยสอนลูกมาตลอด ตระกูลกู้ของพวกเราบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะทำเรื่องที่เหยียบเรือสองแคมแบบนี้ไม่ได้ เข้าใจไหม?”
คำพูดที่จริงจังและหนักแน่นของกู้หรง กู้จื่อเฟยเห็นด้วย แต่เธอไม่เข้าใจว่าเธอไปเหยียบเรือสองแคมตั้งแต่เมื่อไร?
ตอนนี้เธอไม่มีแม้แต่เรือสักลำเลยด้วยซ้ำ?
กู้หรงพูดขึ้นอย่างหดหู่“พ่อ พ่อเข้าใจอะไรผิดใช่ไหม?”
“เข้าใจผิด? พ่อเห็นกับตาตัวเองแล้ว ยังจะเข้าใจผิดอะไรได้อีก!”
กู้หรงพูดตำหนิ“ลูกหยุดแก้ตัวน้ำขุ่นๆได้แล้ว ถ้าลูกกล้าเหยียบเรือสองแคมต่อไปล่ะก็ พ่อจะตัดขาลูกทิ้งซะ”
กู้จื่อเฟย“……”ผู้บริสุทธิ์ เธออยากที่จะพูดอธิบาย
กู้หรงพูดขึ้นมาต่อ“จริงอยู่ที่ป่ายฉีกับเย้นโม่หลินล้วนแต่เป็นผู้ชายที่ดีทั้งนั้น แต่ลูกจะโลภมากแบบนี้ไม่ได้ ได้แค่หนึ่งคนเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ลูกต้องตัดความสัมพันธ์กับเย้นโม่หลินทิ้งซะ ตัดให้ขาดโดยสิ้นเชิง ได้ยินไหม?”
น้ำเสียงที่เข้มงวดจริงจัง เป็นน้ำเสียงของการออกคำสั่ง