เย้นโม่หลินสีหน้ามืดทะมึน ไอเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาเดินดิ่งไปยังทิศทางที่กู้จื่อเฟยกับป่ายฉีวิ่งไป
ท่าทางนั้น คือท่าทางที่กำลังจะไปฆ่าคน
เย้นหว่านจ้องมองไปยังทั้งสามคนที่กำลังเดินดุ่มๆ อย่างมึนงง เธอตกอยู่ในสภาพงงงวยอย่างสมบูรณ์
เธอกะพริบตาปริบก่อนหันไปถามโห้หลีเฉิน
“คุณรู้ไหมว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? พี่ชายฉันกับกู้จื่อเฟย ทำไมถึง…..”
คำพูดข้างหลังนั้น เธออายเกินกว่าที่จะพูดออกมา
แต่ก็เข้าใจความหมายได้
สายตาของโห้หลีเฉินกวาดมองจากแผ่นหลังของโห้หลีเฉินไปอย่างมีความหมาย จากนั้นก็มองไปที่เย้นหว่านอย่างอ่อนโยนแล้วลูบผมเธอด้วยความเอ็นดู
เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องแบบนี้รู้มากไปไม่ดี ถึงยังไงก็ไม่เหมาะหญิงสาวหรอก”
น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นราวกับกำลังคุยอยู่กับเด็กน้อย
แต่เธอไม่ใช่เด็กเล็กๆ เสียหน่อย?
ถึงเรื่องแบบนั้นจะไม่เหมาะกับผู้หญิงและเขาไม่อยากจะบอกเธอ แต่ว่า เวลาที่เขาทำเรื่องลับๆ กับเธอทุกคืนทำไมไม่เห็นคิดว่ามันไม่เหมาะบ้างล่ะ?
จริงๆ เลย ห้ามคนอื่นทำแต่ตัวเองทำได้งั้นเหรอ?
เย้นหว่านตีมือของเขาเบาๆ แล้วถาม
“นายรู้ใช่ไหม? โห้หลีเฉิน นายบอกเหตุผลมาเถอะ”
อย่างไรเสียยังไงเธอคิดไม่ออก คนหนึ่งคือเจ้าท่อนไม้เย้นโม่หลินที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองชอบเขา อีกคนคือกู้จื่อเฟยที่ตัดสินใจจะยอมแพ้ในความสัมพันธ์นี้ไปแล้ว
ทั้งสองคนนี้ ด้วยสภาพทางอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางประมาทเลินเล่อจนไปมีอะไรกันได้หรอก
เมื่อคืนเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น จะต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่
โห้หลีเฉินเม้มปาก แล้วเปลี่ยนทิศทางการพูดอย่างกะทันหัน
“เธอทายดูสิว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว พี่ชายเธอจะปฏิบัติต่อกู้จื่อเฟยยังไง? เขาจะชดเชยค่าตอบแทนอย่างกีดกันเหรอ หรือว่าจะรับผิดชอบต่อหล่อนกันล่ะ?”
รอยยิ้มที่มุมปากของเขาแฝงความปลุกปั่น “เธอทายถูกแล้วฉันจะบอกเหตุผลกับเธอนะ”
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินอย่างมึนงง ไม่นึกว่ายังต้องมาเลือกคำตอบ เจ้าเล่ห์ชะมัด
เธอครุ่นคิดอย่างสับสน
ด้วยนิสัยใจคอและระดับEQของเย้นโม่หลิน มีความเป็นไปได้80% ว่าเขาจะขีดเส้นแบ่งและชดเชยให้เท่าที่จะทำได้ตามวิธีของผู้ชายทั่วไป
ส่วนตัวเลือกอีกข้อ เพราะค่ำคืนอันไม่ถูกต้องเย้นโม่หลินจะรับผิดชอบต่อกู้จื่อเฟย ซึ่งความเป็นไปได้ในข้อนั้น……
ความเป็นไปได้อย่างต่ำก็ไม่ถึง0.1%
การเลือกหนึ่งในสองข้อใน ตามเหตุผลแล้วแทบจะไม่ต้องคิดเลย
เย้นหว่านมองไปที่โห้หลีเฉิน แล้วเอ่ย
“ฉันทายว่าพี่ชายฉันจะรับผิดชอบต่อกู้จื่อเฟย!”
ทุกคำที่เธอพูดนั้น หนักแน่นราวกับเป็นคำอวยพร
ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียง0.1% เธอก็ยังหวังว่ามันจะเป็นบทสรุปนั้นได้
เป็นบทสรุปที่สามารถมีความสุขได้
โห้หลีเฉินมองเย้นหว่านด้วยแววตาลึกซึ้ง “งั้นก็ตั้งตารอดู”
เมื่อทั้งสองตกลงกันเสร็จสิ้น จึงได้เดินมุ่งไปทางห้องพิเศษ
พวกเขาไม่ได้ช้าไปมากนัก ตอนที่มาถึง พวกของกู้จื่อเฟยและเย้นโม่หลินก็กำลังรออยู่ที่ประตู
ในขณะเดียวกัน ด้านนอกห้องพิเศษเองก็มีบอดี้การ์ดชุดดำร่างสูงกำยำยืนอยู่ยี่สิบสามสิบคน แต่ละคนต่างก็ดูเคร่งขรึมและไม่เป็นมิตร เตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปได้ทุกเมื่อ
เห็นได้ชัดว่า ห้องพิเศษนี้ถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว
โห้หลีเฉินจูงมือเล็กของเย้นหว่านเดินเข้าไป บอดี้การ์ดที่ขวางอยู่ที่ประตูรีบเปิดทางให้และแสดงความเคารพทันที
เมื่อโห้หลีเฉินเดินมาถึงประตู จิตสังหารทั่วร่างก็พุ่งสูงขึ้นในทันทีอย่างอันตรายน่าหวั่นเกรง เขาเตะออกไปอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
“ตูม!”
เกิดเสียงดังขึ้น ประตูที่ดูแข็งแรงไร้ที่ติพลันส่งเสียงและล้มลง
จากนั้น เขาก็จูงเย้นหว่าน ขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนบานประตูที่ล้มลงไป
แล้วเข้าไปข้างใน
เสียงดังนี้ทำเอาคนข้างในตกใจจนกระโดดขึ้นมาจากโซฟาทันที ก็คือคนขับรถคนนั้นและชายหนุ่มวัยรุ่นอีกคนหนึ่ง
พวกเขาตะคอกเสียงดัง “พวกแกจะทำอะไร?”
แต่โห้หลีเฉินกลับไม่แม้แต่จะปรายตามอง สายตานั้นจ้องตรงไปยังตำแหน่งของประตูห้องลับที่เย้นหว่านบอก
เขายกมือขึ้นและออกคำสั่ง “ทุบ!”
บอดี้การ์ดพากันกรูเข้ามา บอดี้การ์ดสองสามคนบังคับจับชายทั้งสองคนเอาไว้ ส่วนคนอื่นๆ ก็พุ่งไปยังประตูของห้องลับและทุบมัน
ประตูบานนั้นผ่านการจัดการมาเป็นพิเศษและค่อนข้างทนทาน แต่ไม่เกินสองนาทีมันก็เริ่มสั่นคลอน
“หยุดมือให้หมด!”
เมื่อเห็นว่าประตูกำลังจะพังลง ภายในห้องก็มีเสียงตะคอกอย่างเฉียบขาดของชายหนุ่มดังขึ้น
การเคลื่อนไหวของบอดี้การ์ดหยุดลง
จากนั้นก็เกิดเสียง”ครืดคราด”ขึ้น ประตูถูกเปิดอย่างสั่นๆ ออกมาจากข้างใน
พ่อบ้านตระกูลฝู้เดินนำหน้าออกมาจากช้างใน มองกลุ่มคนที่ราวกับโจรผู้ร้ายก่อนตะโกนก่นด่า
“พวกแกต้องการจะทำอะไรกันแน่? รู้จักกฎเกณฑ์บ้างไหม ไม่นึกว่าจะกล้า….อะ! เจ็บๆๆ!”
เสียงด่าว่าของแม่บ้านยังไม่ทันพูดจบก็ถูกบอดี้การ์ดจับลากมือทั้งสองข้างอย่างหยาบคายแล้วกดเข้ากับกำแพง
กำลังของบอดี้การ์ดนั้นเยอะมาก แขนของพ่อบ้านราวกับใกล้จะหักเลยทีเดียว เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“เฮอะ เป็นใครกันแน่ ไม่นึกว่าจะหยิ่งยโสขนาดนี้ ถึงกล้ามาทำป่าเถื่อนในเขตของฉัน”
น้ำเสียงตวาดของผู้ชายดังออกมาจากในห้อง
ท่านฝู้รองที่สวมชุดสีดำทั้งตัวเดินออกมาจากข้างใน
ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเดือดดาล รังสีน่าเกรงขามกระจายออกมาทั่วร่าง แต่ก็กลับมีความน่าสยองอยู่เล็กน้อย
หากเป็นคนธรรมดา มาเห็นบรรยากาศนี้ของเขาคงจะถอยไปเล็กน้อยเพื่อรักษาหน้าอย่างไม่รู้ตัว
แต่คู่มือของเขา กลับเป็นโห้หลีเฉิน
โห้หลีเฉินยืนอยู่ในห้องพิเศษ ในพริบหาแววตาก็เย็นเยียบราวหนาวแหลม เหมือนจะทิ่มแทงไปบนร่างของท่านฝู้รองได้จริงๆ
เขาเอ่ยถามเย้นหว่านที่อยู่ข้างกาย
“เขาเป็นคนวางยาเธอใช่ไหม?”
เย้นหว่านมองไปที่ใบหน้านั้นของท่านฝู้รอง ก็ยิ่งเร่งเปลวเพลิงในใจ
เป็นไอ้หน้าซื่อใจคดนี่ที่วางยาพิษเธอกับกู้จื่อเฟยเมื่อวานนี้ อีกนิดก็เกือบจะฆ่าพวกเธอแล้ว
เย้นหว่านไร้ซึ่งความรู้สึกที่ดีใดๆ ต่อเขาอีกต่อไป เธอชี้นิ้วไปที่เขาแล้วพยักหน้าอย่างแน่วแน่
“ใช่ เขานี่แหละ!”
ท่านฝู้รองเป็นคนฉลาดระดับไหน เมื่อได้ยินบทสนทนานั้นก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
สาวน้อยสองคนที่ส่งไวน์รมควันให้เมื่อคืน ไม่นึกว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นเย้นหว่าน!
งั้นอีกคน ก็คือกู้จื่อเฟยสินะ!
เขามาเพื่อช่วยฝู้เหวยข่าย แน่นอนว่าเคยเห็นรูปของพวกเย้นหว่านทั้งหมดมาก่อนแล้ว ตอนนี้เย้นหว่านไม่ได้แต่งหน้า เขาจึงจำได้ในทันที
แต่เมื่อวานนั้น เขาเพียงแค่คิดจะถอนรากถอนโคน แต่ก็ไม่ได้ยืนยันตัวตนของเย้นหว่านมาก่อน
แต่กลับไม่คิดเลยว่าคนที่เขาวางยาพิษไปนั้นจะเป็นเย้นหว่านกับกู้จื่อเฟย!
แต่เย้นหว่านนั้นไม่เป็นอะไร พวกเขาได้เป็นศัตรูกับโห้หลีเฉินไปแล้ว ไม่ตายก็หยุดไม่ได้แล้ว ไปฆ่าผู้หญิงของเขายังไม่เป็นไร แต่กู้จื่อเฟยนั้นไม่ได้ นั่นคือคนที่ฝู้เหวยข่ายระบุว่าต้องการ ที่ต้องมีชีวิตอยู่จนสิ้นสงครามธุรกิจนี้ เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะให้กับฝู้เหวยข่าย
หล่อนจะตายไม่ได้
ท่านฝู้รองมองผ่านเย้นหว่านไปยังกู้จื่อเฟยที่เดินตามหลังเข้ามาทันที หล่อนยังมีชีวิตอยู่ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่ต่อว่าเขาก็เห็นกู้จื่อเฟยที่สวมเสื้อคลุมตัวเล็กๆ แต่งตัวห่อด้วยผ้าห่ม แล้วยังมีรอยจูบที่โผล่ขึ้นมาวับๆแวมๆบนคอของเธออีก ทันใดนั้นเขาก็หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมา
เขาก่นด่าด้วยความรังเกียจ
“ผู้หญิงไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว ไม่นึกว่าจะกล้ามั่วผู้ชายไปวันๆ !”
ในใจของเขา กู้จื่อเฟยถูกตีตราว่าเป็นผู้หญิงของฝู้เหวยข่ายไปแล้ว กับผู้ชายคนอื่นแล้ว นั่นก็คือพฤติกรรมของหญิงสารเลว