เย้นโม่หลินนั้นไม่มีเวลาทันได้สังเกตเห็นเย้นหว่านและโห้หลีเฉินเลย เขาพุ่งไปยังล็อบบี้โดยไม่หยุดชะงักราวกับลูกศร
ซึ่งปลายแหลมคมกริบ
ฝู้เหวยข่ายที่ยึดครองล็อบบี้รับรู้ได้ถึงวิกฤตอันใหญ่หลวงที่มุ่งมาจู่โจมเขาในทันที
ทันใดนั้นร่างของเขาก็หดเกร็ง มองไปที่ทิศทางของลิฟต์โดยสัญชาตญาณ และได้เห็นวิญญาณร้าย เหมือนกับความมืดมิดที่เหยียบย่ำขุมนรก เย้นโม่หลินที่เดินมาราวกับเทพอสูร
เมื่อสบเข้ากับสายตาฆ่าฟันนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว
ออร่าของผู้ชายคนนี้น่ากลัวสุดๆ
แต่ทันใดนั้น เขาก็ได้สติกลับมา เย้นโม่หลินหัวเดียวกระเทียมลีบ แค่คนเดียวก็แค่ทำให้ดูดุดันเท่านั้น เขามีบอดี้การ์ดอยู่ข้างกายตั้งหลายสิบคน นอกจากนี้ยังจับกู้จื่อเฟยที่เป็นตัวประกันคนสำคัญเอาไว้ ตอนนี้เขาต่างหากที่ถือไพ่เหนือกว่า
“เฮอะ เย้นโม่หลิน ฉันยังคิดอยู่เลยว่านายจะไม่กล้าโผล่มาซะแล้ว”
เย้นโม่หลินนั้นไม่แม้แต่จะมองเขา สายตาคมกริบมองไปทางกู้จื่อเฟยโดยตรง
เธอกำลังถูกคนเอามือไขว้ไว้ที่หลังและถูกบังคับให้ก้มตัวลงเล็กน้อย ดวงตาปราดเปรื่องคู่นั้นในเวลานี้กำลังวูบไหว ตื่นตระหนกอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ากำลังหวาดกลัว
แต่เมื่อสายตาของเขาไปตกอยู่ที่รอยแดงบนหน้าของเธอ จิตสังหารรอบกายของเย้นโม่หลินก็ทะยานขึ้นในพริบตา
น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นน่าหวาดหวั่น “ใครตีเธอ?”
กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินอย่างงงงัน เธอรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
สภาพของเธอในตอนนี้เรียกได้ว่าตกที่นั่งลำบากอย่างมาก แถมยังกลายเป็นตัวถ่วง
เธอเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไร
สภาพที่อดกลั้นฝืนทนนั้น ทำให้โกรธเกรี้ยวทั่วร่างของเย้นโม่หลินไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป
ในเมื่อไม่พูด งั้นเขาก็จะตัดแขนคนพวกนี้ให้หมด!
เย้นโม่หลินเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้ามืดทะมึน
จิตสังหารอันพรั่นพรึงนั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ บอดี้การ์ดเหล่านั้นแทบจะตั้งท่าพร้อมสู้ในทันที
ฝู้เหวยข่ายมองเย้นโม่หลินที่เป็นเช่นนั้น ก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ต่อให้เขาจะมีคนเยอะก็ยังรู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อยอย่างน่าบัดซบ
เขาขึ้นเสียงเอ่ยเตือน
“เย้นโม่หลิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ตอนนี้กู้จื่อเฟยอยู่ในเงื้อมมือของฉัน ถ้านายไม่เชื่อฟังก็อย่าโทษฉันที่ทำร้ายเธอ”
แววตาเย้นโม่หลินยิ่งเย็นยะเยือกขึ้น เขาเดินเข้ามาทีละก้าว
“ถ้านายกล้าแตะต้องเธออีกแม้แต่น้อย ฉันจะหักมือนายอีกข้างหนึ่ง”
เสียงที่ราวกับมัจจุราชนั้น ได้ทำให้แขนขวาของคนกลุ่มนั้นกลายเป็นขยะไปแล้ว
ฝู้เหวยข่ายถึงกับรู้สึกถึงความหนาวยะเยือกที่แขนของตัวเอง
เย้นหว่านเดินตามเข้ามา เมื่อเห็นเย้นโม่หลินที่เป็นเช่นนั้นก็พูดออกมาไม่ได้
“พี่ชายฉันพอดูแบบนี้แล้วน่ากลัวจัง”
นี่คือเกรี้ยวโกรธเกศาชันเพื่อโฉมงามในตำนานงั้นเหรอ?
แต่เธอกลับรู้สึกวางใจลงได้เล็กน้อย เย้นโม่หลินเป็นห่วงขนาดนี้ ก็คงจะช่วยกู้จื่อเฟยมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
ฝู้เหวยข่ายได้เจอดีแน่!
โห้หลีเฉินมองท่าทางตื่นตะลึงของเย้นหว่าน แววตาก็หม่นลงก่อนถามหยั่งเชิง
“กลัวเหรอ?”
เย้นหว่านส่ายหัวทันที “ไม่กลัวอยู่แล้ว นั่นพี่ชายฉันนะ เขาจะเปลี่ยนเป็นยังไงฉันก็ไม่กลัวหรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้น มุมปากของโห้หลีเฉินก็ยกขึ้น เป็นรอยยิ้มแห่งความสุข
แบบนี้ก็ดีแล้ว
เธอไม่กลัวเย้นโม่หลิน และไม่กลัวท่าทีที่ดุร้ายขึ้นมาของเขา
หากเกิดเรื่องขึ้นกับเย้นหว่าน ท่าทีของเขาคงไม่ต่างไปจากเย้นโม่หลินเท่าไหร่
“อ๊าก!”
ระหว่างที่ครุ่นคิด เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น
เห็นเพียงบอดี้การ์ดที่เดินขึ้นมาพยายามจะขวางเย้นโม่หลิน ถูกสะบั้นแขนข้างหนึ่งไปในพริบตา ก่อนล้มลงตะเกียกตะกายกับพื้นพี้อมเสียงคร่ำครวญ
บอดี้การ์ดคนอื่นๆ ตกใจสะดุ้งโหยงและมึนงงไปเล็กน้อย
ไม่มีใครคาดคิดว่าเย้นโม่หลินก็ลงมือโหดเหี้ยมขนาดนี้ พลังกำลังต้องมากมายแค่ไหนจึงจะสะบั้นแขนได้ในเสี้ยววินาทีด้วยมือข้างเดียว
“มันยืนบื้ออะไรอยู่? จัดการมันสิ!”
ฝู้เหวยข่ายตะโกนอย่างโกรธจัด
เหล่าบอดี้การ์ดเมื่อถูกด่าก็ได้สติขึ้นมา หลายคนรีบพุ่งไปยังเย้นโม่หลินพร้อมกัน
นี่เป็นจังหวะที่จะยกพวกรุม
“ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”
เย้นหว่านเห็นก็เดือดดาลและคิดจะเข้าไป “ฉันจะไปช่วยเขา”
“ไม่จำเป็น”
โห้หลีเฉินดึงเย้นหว่าน แล้วม้วนเธอตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ไม่ต้องกังวล พี่ชายของเธอจัดการด้วยตัวเองได้”
ด้วยตัวเอง?
รับมือกับบอดี้การ์ดตั้งหลายสิบคนน่ะเหรอ?
ขณะที่เย้นหว่านรู้สึกว่านั่นออกจะเลอะเทอะไปหน่อย แต่ในวินาทีต่อมา ความคิดนั้นของเธอก็พังทลายลง
เธอเห็นเพียงบอดี้การ์ดหลายคนที่พุ่งเข้ามานั้น ล้มระเนระนาดลงกับพื้นในชั่วพริบตาต่อมา
และทุกคนต่างก็อยู่ในท่าทางเดียวกัน นั่นคือกุมแขนขวาของตัวเองเอาไว้พร้อมกับร้องคร่ำครวญ
ทั้งหมดล้วนถูกสะบั้นแขนข้างหนึ่งทิ้งทั้งสิ้น!
เหล่าบอดี้การ์ดแต่ละคนหน้าถอดสี รู้สึกว่าได้เจอกับปีศาจร้ายเข้าแล้ว พลังและความเร็วของคนคนนี้ มันเป็นขอบเขตของมนุษย์จริงๆ เหรอ?
นักฆ่าคนไหนก็น่ากลัวไม่เท่าเขา
ฝู้เหวยข่ายเองก็ตกใจกลัวขึ้นมา นึกไม่ถึงเลยว่าเย้นโม่หลินคนเดียวจะเก่งกาจได้ถึงระดับนี้
งั้นคนหลายสิบคนของเขา จะพอให้เขาตีรึเปล่า?
เขาตะโกนอย่างตื่นตระหนก “เร็วเข้า เข้าไปให้หมด ฆ่ามันซะ!”
ทั้งหมดหลายสิบคนเข้าไปทันที
เหล่าบอดี้การ์ดทำใจให้กล้า ไม่กล้าจะขัดคำสั่ง รีบรุมล้อมเข้าไปทันที
การรุมเข้าไปนั้นแทบจะใช้ร่างกายฝังเย้นโม่หลินได้เลย
กู้จื่อเฟยมองอย่างอกสั่นขวัญแขวน ตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“เย้นโม่หลิน อย่าเข้ามา! เขาก็แค่คิดจะใช้ฉันเป็นตัวประกัน นายอย่าเข้ามา”
เย้นโม่หลินมองไปยังกู้จื่อเฟยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังมากแต่กลับจับใจ
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะช่วยเธอ”
คำง่ายไม่กี่คำ ทำให้กู้จื่อเฟยตกตะลึง
เธอมองไปที่เขาอย่างเหม่อลอย ราวกับยังดังกังวานอยู่ข้างหูตลอดเวลา
ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะช่วยเธอ
เขาบอกให้เธอไม่ต้องกลัว ความเอาใจใส่ที่ละเอียดอ่อนแบบนั้น
หัวใจของกู้จื่อเฟยเต้นอย่างบ้าคลั่ง พูดไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกยังไง ที่จมูกของเธอแสบปลายขึ้นมาอย่างรุนแรง
กลุ่มคนล้อมเข้ามา แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อความเร็วของเย้นโม่หลินเลยแม้แต่น้อยอย่างปาฏิหาริย์
เห็นเพียงคนที่ล้มลงกับพื้น กุมแขนที่ถูกสะบั้นของตัวเองและร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดไปตามๆ กันทีละคน
ส่วนเย้นโม่หลินนั้น เพียงแค่เสื้อผ้ายุ่งเหยิงนิดหน่อยเท่านั้น บนร่างกายไม่มีรอยบาดแผลแม้แต่น้อย การลงมือของเขานั้นรวดเร็วและแม่นยำเหมือนกับเครื่องจักรมรณะ
บอดี้การ์ดล้มลงทีละคน
คนหลายสิบคน ก็เหลืออยู่ไม่กี่คนในเวลาเพียงชั่วครู่
ฝู้เหวยข่ายมองอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ลูกตานั้นแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
แม่งนี่มันปีศาจรึไงวะ?
มีคนที่เก่งกาจขนาดนี้ได้ยังไง
สิ่งสำคัญก็คือ ด้วยความเร็วนี้รอไปอีกสองนาทีคนที่จะถูกเอาแขนออกคนต่อไปนั่นก็คือเขา
ฝู้เหวยข่ายเป็นนักธุรกิจไม่ใช่นักสู้ ร่างกายบอบบางนั้นไม่สามารถรับได้เลย
เขากลัวแล้ว
ท่ามกลางความตื่นตระหนก เขาก็ลากกู้จื่อเฟยที่บอดี้การ์ดล็อกอยู่มาตรงของตัวเองแล้วหยิบกริซคมกริบออกมาจ่อที่คอหอยของกู้จื่อเฟย
เขาตะคอกเสียงดัง
“เย้นโม่หลิน หยุดมือซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเธอเดี๋ยวนี้!”
เย้นโม่หลินเหวี่ยงคนที่อยู่ในมือทิ้งไปชนกับบอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่อย่างรุนแรงและรวดเร็ว
เขามองไปยังฝู้เหวยข่ายด้วยแววตาเย็นเยียบ ราวกับกำลังมองคนที่ใกล้ตาย