โห้หลีเฉินมองเว่ยชี อารมณ์ดี พูดอธิบายคลายความสงสัยของเขาด้วยเจตนาดี
“ถ้าเขาไข้เขวแล้ว กู้จื่อเฟยก็จะพาเขากลับมา แต่กระบวนการที่พากลับนี้ มันก็มีจุดน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เย้นโม่หลินก็ไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องอื่นแล้วเหมือนกัน”
ดังนั้น แม้ว่าเขาจะลุ่มหลงในความรักจนไม่มีกะจิตกะใจทำอย่างอื่น โห้หลีเฉินก็เต็มใจที่จะเห็นมัน
ถ้าเป็นแบบนี้ เขากับเย้นหว่านอยากจะทำอะไร ก็ทำได้ทั้งนั้น
ทำอะไรได้อย่างอิสระตามใจชอบ
ตอนนี้เว่ยชีถึงได้เข้าใจเจตนาของคุณชายของตัวเองขึ้นมา ยกมุมปากขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แอบพูดแขวะ เจ้าเล่ห์จริงๆ
อย่างที่โห้หลีเฉินคาดเอาไว้ แม้ว่าป่ายฉีจะมองทะลุถึงความรู้สึกที่เย้นโม่หลินมีต่อกู้จื่อเฟย แต่นี่มันก็เป็นแค่เพราะว่าคุ้นเคยเท่านั้น บวกเข้ากับเหตุผลที่ว่าคนนอกเกมมักจะมองเกมชัดเจนมากกว่าตัวผู้เล่นเอง
ส่วนเรื่องที่ว่าจะอธิบายความรักยังไง ความเห็นของเขาก็คือ
“เมื่อคุณยอมทำเรื่องอะไรก็ตามเพื่อเธอแล้ว เธอทำอะไรคุณก็จะรู้สึกว่าสบายตาไปหมด แถมเต็มใจให้ความร่วมมือด้วย นั่นก็คือคุณรักเธอเข้าแล้ว”
ยอมให้ความร่วมมือกับเธอทำเรื่องต่างๆ?
เย่นโม่หลินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่านี่มันคือความรู้สึกยังไงกันแน่ แต่ก่อน ก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรมากมายกับเธอเลย
เหมือนกับว่า เธอไม่เคยขอให้เขาทำอะไรเลย
แต่ต่อจากนี้ เขาอาจจะลองดูก็ได้
“เข้าใจแล้ว นายกลับไปซะ”
พูดจบ เย้นโม่หลินก็หันตัวเดินจากไป
ป่ายฉียืนอยู่กับที่ด้วยใบหน้าอึ้งตะลึงไป
เห้ย ที่เรียกเขามา เพื่อถามประโยคเดียว แล้วก็จบแล้วเนี่ยนะ?
เร็วเกินไปไหม
เสียเวลาที่เขาไปๆมาๆจริงๆเลย
ป่ายฉีทำได้แค่แบกความอัดอั้นตันใจกลับไปยังห้องหนังสือของโห้หลีเฉิน
ชั่วพริบตา ก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
แม้ว่าพวกโห้หลีเฉินจะมีธุระต้องทำ แต่เนื่องจากกฎเหล็กของเย้นหว่าน คนต้องกินข้าวกินปลา อาหารแต่ละมื้อต้องกินอย่างดีกินให้อิ่ม
พวกโห้หลีเฉินก็เลยลงมากินข้าวด้วยกัน
อาหารก็ปกติดี แต่สำหรับกู้จื่อเฟยแล้วมันไม่เหมือนเดิม
ราวกับมีกวางกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ภายในใจของเธอ รู้สึกกระวนกระวายไม่สงบ ในหัวเต็มไปด้วยความกดดันประหม่าที่กำลังจะได้เจอกับเย้นโม่หลิน
หลังจากที่กลับมา เธอไม่เจอกับเย้นโม่หลินมาหลายชั่วโมงแล้ว
ความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ กลับเปลี่ยนจากเส้นคู่ขนาน มากลายเป็นคู่รักที่ผูกพันกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดระหว่างชายหญิง
ก่อนที่เธอจะมา ในหัวก็คิดอยู่หลายร้อยหลายพันรอบ ว่าสถานการณ์มันจะเป็นยังไงถ้ามาเจอกับเขาหลังจากนั้น
เป็นครั้งแรกที่ได้มากินข้าวกับเย้นโม่หลินที่มีสถานะเป็นแฟนหนุ่ม เขาจะมองเธออย่างอ่อนโยนไหม? เขาจะคีบอาหารให้กับเธออย่างไม่หยุดหย่อน ให้เธอได้กินเยอะๆไหม?
แค่คิด กู้จื่อเฟยก็เพ้อฝันไปอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
ท่าทางตื่นเต้นดีใจอยู่ตลอดเวลา
เป็นแบบนี้ เธอจึงนั่งลงที่เก้าอี้ด้วยความไม่เป็นตัวของตัวเอง ในที่สุดก็รอจนโห้หลีเฉินกับเย้นโม่หลินมาถึง
กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินด้วยสายตาสั่นเป็นประกาย แก้มแดง
เย้นโม่หลินหันมองเธอ ใบหน้าที่หล่อเหลาไม่ได้มีสีหน้าอารมณ์มากมาย
จากนั้น เขาก็นั่งลงตรงที่นั่งตามปกติ ท่าทางสุภาพมีมารยาทตลอดเวลา หาจุดพลาดไม่ได้เลยสักนิด
แต่กู้จื่อเฟยจ้องมองเขา สายตาราวกับถูกกดปุ่มหยุดชั่วคราวเอาไว้
ทำไมเขายังต้องนั่งตรงข้ามกับเธอด้วย ในเวลานี้ควรจะมานั่งที่นั่งใกล้กับเธอไม่ใช่หรือไง?
โห้หลีเฉินก็นั่งลงไป ยังคงนั่งลงข้างๆเย้นหว่านเหมือนกับเมื่อก่อน
เขาเพิ่งจะนั่งลง แขนที่แข็งแรงก็ยื่นออกไปโอบร่างกายอันเล็กบางของเย้นหว่านเข้ามาในอ้อมแขน
เขาโอบกอดเธออย่างใกล้ชิดสนิทสนม พร้อมกับพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เพิ่งจะทำอะไรไปเหรอ?”
โอบกอดต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เย้นหว่านก็ยังคงแก้มร้อนผ่าว รู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย
เธอก้มหน้าเล็กน้อย พูดขึ้นเบาๆ
“ไม่มีอะไร ก็แค่ดื่มชายามบ่ายกับจื่อเฟยน่ะ”
“อื้อ”โห้หลีเฉินพยักหน้า”อยากกินซุปอะไร?”
บนโต๊ะมีซุปสามชนิดวางอยู่ สามารถเลือกรสชาติได้ ทุกวันโห้หลีเฉินจะเป็นคนตักให้กับเย้นหว่าน
เย้นหว่านชินไปแล้ว”ซุปกระดูกหมู”
โห้หลีเฉินก็หยิบถ้วย ตักซุปให้เธอด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่ว
การบริการแบบนี้ มันดูไม่ค่อยสอดคล้องกับท่าทางและอุปนิสัยของเขาเลย แต่พอเขาทำแล้วกลับดูเข้ากัน ดูสง่างามสุดๆ ยิ่งทำให้คนเห็นแล้วอิจฉาผู้หญิงที่ถูกดูแลเอาใจใส่คนนั้นอย่างช่วยไม่ได้
การกระทำของโห้หลีเฉินกับเย้นหว่าน เป็นการกระทำฆ่าคนโสดที่ต้องทำทุกวันเวลาทานอาหาร
ทุกคนชินกันไปแล้ว
แต่พอวันนี้กู้จื่อเฟยเห็นแล้ว กลับรู้สึกตงิดๆอยู่ในใจนิดหน่อย มองโห้หลีเฉินตักซุปวางไว้ตรงหน้าของเย้นหว่าน แถมยังกำชับเธอว่าเย็นก่อนแล้วค่อยกินแบบนั้นอีก เธอหันมองไปยังเย้นโม่หลินอย่างช่วยไม่ได้
เขาก็มีสถานะเป็นแฟนเหมือนกัน เขาต้องตักซุปให้เธอไหม?
แต่ว่า กู้จื่อเฟยรออยู่นานสองนาน ก็ไม่เห็นว่าเย้นโม่หลินจะมีทีท่าหยิบถ้วยมาตักซุปให้เธอสักที
จนกระทั่งเห็นเย้นโม่หลินหยิบตะเกียบแล้วเริ่มคีบอาหารกินอย่างสง่างาม ความหวังที่อยู่ภายในใจของกู้จื่อเฟย ก็ดับสูญทันที
เธอคิดเยอะเกินไป
แฟนไม่เหมือนกัน วิธีการปฏิบัติก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เธอจะไปคิดเรื่องที่จะให้เย้นโม่หลินปฏิบัติเหมือนกับโห้หลีเฉินแบบนี้ไม่ได้
กู้จื่อเฟยปลอบตัวเอง ก่อนจะหยิบถ้วยตะเกียบเริ่มลงมือกิน
ระหว่างที่กินข้าว สายตาก็ชำเลืองมองไปยังเย้นโม่หลินอย่างไม่รู้ตัว มองใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ก็รู้สึกว่าหลงใหล กินข้าวเปล่าก็รู้สึกความอยากอาหารเพิ่มขึ้นมาก
“เฟยเฟย ลูกอย่าเอาแต่กินข้าวสิ กินกับเยอะๆสิถึงจะได้สารอาหาร”
กู้หรงคีบกระดูกหมูเปรี้ยวหวานสองสามชิ้นใส่ลงไปในถ้วยของกู้จื่อเฟย
วันนี้เด็กสาวคนนี้ดูไม่ปกติเลยสักนิด กินข้าวก็เหม่อลอย
กู้จื่อเฟยเหม่อไปสักพัก พอเห็นกระดูกหมูแห่งความห่วงใยของพ่อตัวเองที่อยู่ในถ้วยแล้ว ก็รู้สึกอัดอั้นตันใจขึ้นมาทันที
เธออยากได้ความห่วงใยที่มาจากแฟนนะ
แต่ว่าไม่มี
แม้แต่กระดูกหมูเปรี้ยวหวานก็ยังรู้สึกว่ามันไม่หวานเลย
เย้นโม่หลินมองกู้จื่อเฟย แล้วกินข้าวต่ออย่างสง่างาม แต่ความเร็วในการกินข้าว มันช้าลงไม่น้อย
คนที่หูไวตาไวแบบเขา แน่นอนว่าต้องสังเกตเห็นว่ากู้จื่อเฟยแอบมองเขามาโดยตลอดอยู่แล้ว
ในเมื่อเธอชอบมอง ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะอยู่นานๆสักหน่อย ให้เธอได้มองได้ดูเยอะๆก็แล้วกัน
ข้าวมื้อนี้ ดูผิวเผินแล้วกินกันอย่างกลมเกลียวสุดๆ
หลังจากที่กู้หรงกินเสร็จแล้ว ก็พูดทักทาย ก่อนจะปลีกตัวไป
จากนั้นก็เป็นโห้หลีเฉิน เขาวางถ้วยตะเกียบลง หันไปพูดกับเย้นหว่าน
“ผมไปทำงานก่อนนะ”
เย้นหว่านรีบวางถ้วยที่ยังกินอยู่ลงทันที พยักหน้า”ค่ะ”
โห้หลีเฉินมองท่าทางที่ยังมีน้ำมันติดอยู่ที่ปากของเธอ สายตาก็รักเอ็นดูสุดๆ โค้งตัวไปข้างหน้า จูบลงที่หน้าผากของเธอ
เขาเข้าไปใกล้ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาๆน่าดึงดูดที่ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น
“ผมจะรีบทำให้เสร็จเร็วๆ คุณไปรอผมที่ห้องนะ”
จูบที่กะทันหัน บวกเข้ากับคำพูดที่คลุมเครือทำให้รู้สึกเขินตรงข้างๆหู ทำให้เย้นหว่านหน้าแดงเหมือนกับผลแอปเปิ้ลสุกทันที ร้อนผ่านไปทั้งตัว
เธอผลักเขาออกด้วยความเขินอาย “คุณรีบไปเร็วเข้า”
จริงๆเลย ที่กินข้าวเสร็จเร็วขนาดนั้น ก็เพื่อจะได้ไปทำงานให้เสร็จไวๆ คืนนี้จะได้ไปหาเธอสินะ
เย้นหว่านทนไม่ได้ที่จะมองตรงๆ
โห้หลีเฉินถูกผลักออก มุมปากยังคงยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะหันตัวเดินออกจากห้องอาหาร
เงาที่สูงใหญ่เดินไปค่อนข้างเร็ว เจตนาเหมือนไม่อยากจะเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว
ยิ่งเห็นเขารีบร้อนขนาดนี้ เย้นหว่านก็ยิ่งหน้าแดงใจเต้นเร็วมากขึ้น
เย้นโม่หลินมองสำรวจเย้นหว่าน พร้อมกับพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม
“เขาพูดอะไรกับเธอ?”
ปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ของเย้นหว่าน คงจะไม่ได้จะรังแกเย้นหว่านหรอกใช่ไหม?