นี่ไม่ใช่ห้องๆหนึ่ง แต่เป็นที่ที่หนึ่งที่คล้ายกับชานชาลา ที่ห่างออกไปไม่ไกล มี
รถไฟขนาดเล็กที่เก่าแก่ดูมีอายุจอดอยู่หนึ่งขบวนพอดี
ส่วนข้างรถไฟ มีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง เก้าอี้ตัวนั้นดูมีอายุการใช้ที่นานมากแล้ว
เย้นหว่านเพิ่งเห็น ถึงขั้นรู้สึกเบลอๆว่าจู่ๆได้ย้อนเวลาไปเมื่อหลายสิบปีก่อน
“ที่นี่เป็นแค่สถานีเปลี่ยนเส้นทางเฉยๆ”
โห้หลีเฉินอธิบายด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ที่ที่เราจะไปไม่ได้อยู่ที่นี่ ต้องนั่งรถไฟไป”
สายตาสำรวจของเขาได้มองไปยังรถไฟขนาดเล็กที่เก่าแก่ขบวนนั้น
รถไฟขบวนนี้ ตั้งแต่สร้างมาจนถึงตอนนี้ อย่างน้อยก็ร้อยกว่าปีแล้ว ของเก่าแก่แบบนี้ ไม่ว่าจะประสิทธิภาพการหรือในเรื่องความสะดวกล้วนไม่ค่อยดีแล้ว
ยิ่งควรจะเปลี่ยนตั้งนานแล้ว
แต่ทำไมตอนนี้ยังอยู่ที่นี่?อีกอย่างดูท่าทีถ้าจะไปห้องลับล่ะก็ ก็ต้องนั่งรถไฟขบวนนี้ไป
สังเกตเห็นสายตาของโห้หลีเฉินอย่างหลักแหลม หยูเซินได้อธิบายอย่างเคารพนอบน้อม “ตั้งแต่ตรงนี้เป็นต้นไป ก็ถือเป็นขอบเขตคลังสมบัติของตระกูลหยูแล้ว ถ้าไม่ขับรถไฟนี้ไปตามปกติ ก็จะไปแตะโดนกลไก ถึงมีโลหิตเป็นตัวล่อก็เปิดคลังสมบัติไม่ออกครับ เพราะคลังสมบัติของตระกูลหยูไม่มีคนเปิดมาร้อยกว่าปีแล้ว เพราะฉะนั้นรถไฟขบวนนี้ก็เคลื่อนย้ายไม่ได้ พอเคลื่อนย้ายปุ๊บก็จะทำลายระบบกลไกของด้านใน ทำให้คลังสมบัติได้รับความเสียหาย เราก็ได้แต่ส่งคนมาบำรุงซ่อมแซมอยู่เป็นประจำ ให้มันสามารถดำเนินการต่อไปได้ครับ
ตอนนี้คุณชายสามารถเปิดคลังสมบัติออก วันข้างหน้า ก็จะสามารถซ่อมถนนเส้นนี้ใหม่ เปลี่ยนเป็นรถยนต์ที่สะดวกและรวดเร็วกว่าครับ”
ที่แท้คือแบบนี้นี่เอง คนรุ่นหนึ่งสามารถเปิดคลังสมบัติ ก็จะสามารถตั้งกลไกรหัสตามไปด้วย
โห้หลีเฉินพยักหน้า แล้วจูงมือเย้นหว่านไปที่รถไฟขบวนนั้น
ในขณะเดียวกัน ได้ยิ้มให้เธอเบาๆพร้อมพูดว่า “รถไฟโบราณ ลองนั่งแล้วสัมผัสความรู้สึกดู”
เย้นหว่านชักจะตื่นเต้นและคาดหวังเล็กน้อย
รถไฟขบวนนี้นับได้ว่าเป็นวัตถุโบราณจริงๆ สามารถวางโชว์ในนิทรรศการพิพิธภัณฑ์ได้เลย
แต่เธอยังสามารถลองนั่งสัมผัสความรู้สึกดู ไม่เลวเลยจริงๆ
หยูฉู่สองมองฝู้ยวนด้วยสายตาไม่พอใจ จากนั้นได้ขึ้นรถไฟด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ฝู้ยวนเดินมาเป็นคนสุดท้าย
ตอนที่เขาใกล้จะเดินมาถึงข้างรถ หยูเซินที่ยืนอยู่ข้างรถไฟได้พูดกับเขาด้วยรอยยิ้มที่ฝืนใจ “คุณฝู้ ขึ้นรถระวังด้วยนะครับ รถอันนี้เก่าแก่เกินไป ถ้าไปทำตรงไหนเสียเข้า ก็อาจจะขับไม่ได้ ทำให้เข้าคลังสมบัติไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงใครก็รับผิดชอบไม่ไหวนะครับ”
ดูเหมือนจะเตือนด้วยความหวังดี ที่จริงคำพูดเต็มไปด้วยการข่มขู่และตักเตือน
ฝู้ยวนสีหน้าแข็งทื่อ ฝืนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “รู้ครับ ผมจะระมัดระวังครับ”
เขารู้ดีว่านี่คือการตักเตือนโดยไม่ต้องสงสัยเลย อย่ามีความคิดเกินเลยใดๆกับคลังสมบัติของตระกูลหยู
ถึงเคยเข้ามาครั้งหนึ่ง แต่คราวหน้าถ้าอยากเข้ามาอีก ไม่มีกุญแจขับเคลื่อนรถไฟขบวนนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
ส่วนกุญแจรถก็อยู่ในมือของหยูฉู่สองคนเดียว
“ปู๊นๆๆ”
รถไฟขนาดเล็กสตาร์ทและค่อยๆขับไปข้างหน้า
รถไฟขับช้ามาก เร็วกว่าเดินแค่นิดเดียว เสียงรบกวนดังมาก เห็นได้ชัดว่าเก่าแก่เกินไป มีความรู้สึกเก่าแก่มาก
เย้นหว่านนั่งอยู่บนรถไฟด้วยความตื่นเต้น มักมีความรู้สึกแบบนี้อยู่เรื่อยเลยว่ารถไฟขับอยู่ดีๆ ก็อาจจะหยุดหรือเสียโดยตรงโดยที่ไม่ระวัง
เธอโอบโห้หลีเฉินไว้ พร้อมกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆ “ต่อไปคุณสามารถสร้างถนนเส้นนี้ใหม่ จะเปลี่ยนรถไฟขบวนนี้ทิ้งมั้ยคะ?”
“ดูตามอารมณ์ก่อน”
โห้หลีเฉินตอบเรื่อยเปื่อยอย่างไม่แยแส
แต่เขาไม่ได้กดเสียงต่ำ ทำให้หยูฉู่สองก็ได้ยินคำพูดของเขาด้วย เขาที่เดิมทีหน้าบึ้งอยู่แล้ว ทีนี้ยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่
ตอนนี้เปิดคลังสมบัติออกแล้ว จะต้องเข้าๆออกๆในคลังสมบัติประจำแน่นอน รถไฟขบวนนี้ก็เก่าขนาดนี้แล้ว เกรงว่าก็คงใช้ได้ไม่กี่ครั้งแล้ว
ถ้าไม่เปลี่ยนรถไฟ ไม่ช้าก็เร็วรถไฟก็ต้องเสียแน่นอน ถึงเวลาก็เข้าคลังสมบัติไม่ได้แล้ว
ท่าทีที่ไม่แคร์เลยสักนิดว่าตระกูลหยูจะเจริญรุ่งเรืองหรือเปล่าของโห้หลีเฉิน ทำให้ในใจหยูฉู่สองลุกเป็นไฟ
แต่ก็ระเบิดอารมณ์ไม่ออก
กุญแจคลังสมบัติของตระกูลหยูกุมอยู่ในมือของโห้หลีเฉิน นั่นก็เท่ากับว่าเขาจะต้องถูกควบคุมโดยโห้หลีเฉิน
ถึงจะไม่พอใจแค่ไหน ก็จะมาแตกคอกันตอนนี้ไม่ได้
แต่ไหนแต่ไรหยูฉู่สองกุมทุกอย่างไว้ในมือ แต่หลานชายคนนี้ดันเป็นคนพิเศษ เขาควบคุมไม่อยู่เลยด้วยซ้ำ และยิ่งควบคุมไม่ได้ด้วย
ดันยังทำอะไรเขาไม่ได้อีก
เย้นหว่านสังเกตเห็นออร่าที่เปลี่ยนแปลงของหยูฉู่สองอย่างหลักแหลม ตึงเครียดกว่าก่อนหน้านี้ และยิ่งโกรธเกรี้ยวกว่าก่อนหน้านี้ด้วย
เธอรู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของโห้หลีเฉิน
สายตาที่สำรวจของเธอมองทั้งสองอย่างเงียบๆ ไม่ค่อยแน่ใจ แต่พอจะเดาได้ว่าโห้หลีเฉินจงใจ
เขากำลังต่อกรกับหยูฉู่สองอยู่
นี่เป็นศึกชักเย่อที่ไม่มีคราบเขม่าปืน
แข็งกร้าวและควบคุมทุกอย่าง แม้กระทั่งผู้สืบทอดตระกูลก็อยากควบคุมอยู่ในมือตัวเอง ให้เชื่อฟังเขาทุกอย่าง
แต่โห้หลีเฉินดันกลับกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่ใช่คนที่ยอมฟังและยอมทำตามเด็ดขาด
เขากลับมาที่ตระกูลหยู จึงเป็นฝ่ายคลุกคลีเข้ามาในน้ำโคลนนี้เอง ยิ่งเพราะสายเลือดของเขา ตระกูลหยูยิ่งไม่มีทางปล่อยเขาไป เขาจำต้องรับช่วงต่อตระกูลนี้แน่นอน
แต่เขาจะรับช่วงต่อ ก็จะต้องใช้วิธีของเขามารับช่วงต่อ ไม่ใช่ถูกคนอื่นมาคุมไว้ กดขี่ไว้และพันธนาการไว้
ในศึกชักเย่อศึกนี้หยูฉู่สองกับโห้หลีเฉินต่างก็ไม่มีใครยอมใคร คือแข่งว่าใครจะสามารถสงบนิ่งถึงสุดท้าย
ระยะทางนี้ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ถึงแม้รถไฟช้า แต่ไม่นานก็ถึงแล้ว
รถไฟได้ค่อยๆจอดลงที่หน้าประตูบานใหญ่ที่มีขนาดกว้างเท่าคนสองคน
ที่นี่เป็นถนนที่เป็นแบบปิดผนึก รอบด้านล้วนเป็นหินอุโมงค์หมด ประตูนี้อยู่สุดปลายทางของอุโมงค์พอดี ข้างๆเป็นก้อนหินหมด
หยูฉู่สองเห็นประตูบานนี้แล้วตาลุกวาวขึ้นมาทันที
หลายสิบปีแล้ว ในที่สุดวันนี้เขาก็สามารถเปิดออกสักที
เขาลงจากรถไฟเป็นคนแรก เดินมาที่หน้าประตูอย่างไว พร้อมทั้งยื่นมือจับกรอบประตูด้วยความตื่นเต้น
“เฉิน หลานมาที่นี่ กรีดนิ้วแล้วกดไปที่ราวจับประตู แค่นี้ก็สามารถเปิดประตูออกแล้ว”
โห้หลีเฉินลงจากรถไฟตาม
รูปร่างสูงใหญ่ของเขายืนอยู่ที่หน้าประตู สายตามองไปที่ราวจับประตู ที่นั่นมีร่องเล็กๆอยู่ร่องหนึ่ง สามารถใส่เลือดได้พอดี
ประตูบานนี้ดูแล้วธรรมดามาก ก็เหมือนประตูของครอบครัวทั่วไป แต่พอมองไปตามร่องอย่างละเอียด ก็จะพบว่าด้านหลังของภายนอกที่ธรรมดานี้ เป็นกลไกละเอียดประณีตที่เทคโนโลยีของตอนนี้ก็ยังไขไม่ออกเลย
หลายร้อยปีก่อน บรรพบุรุษของตระกูลหยูก็ได้ทำวิศวกรรมแบบนี้ออกมาแล้ว แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธีอื่นที่จะสามารถเปิดออก
ในนั้น ได้ซ่อนของเอาไว้เท่าไหร่?
โห้หลีเฉินก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน
เขาไม่ได้ลังเล ได้กรีดนิ้วมือตัวเองแล้วหยดเลือดตัวเองลงในร่อง
เห็นแค่เลือดไหลลงไปตามร่องนั้นทันที ไหลเข้าไปในประตูจนไม่เห็นร่องรอย ขณะเดียวกันด้านในของประตูมีเสียงเครื่องกลหมุน”แกร๊กๆๆ”ดังขึ้น
“ประตูเปิดออกแล้ว?”
เย้นหว่านเดินมาที่ข้างกายโห้หลีเฉิน ล้วงมือเขาขึ้นมา แล้วใช้กระดาษชำระที่เตรียมเสร็จห่อมือของเขาไว้เพื่อห้ามเลือด
อดแค้นเคืองอยู่ในใจไม่ได้ กลไกบ้าบออะไร ดันต้องกรีดมือหยดเลือดลงไปถึงจะสามารถเปิดออก
ต่อไปถ้าอยากเข้ามา ไม่ใช่ต้องเข้ามาหนึ่งครั้ง ก็ให้โห้หลีเฉินเสียเลือดครั้งหนึ่งเลยเหรอ?
มองเย้นหว่านที่ไม่พอใจ โห้หลีเฉินขยี้ผมของเธออย่างเอ็นดู หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “แค่แผลเล็กๆเอง ไม่เจ็บครับ”
ส่วนมืออีกข้างของเขาได้จับอยู่ที่ราวจับประตู บิดลงไปทีหนึ่ง เสียงดัง”แกร๊ก”ขึ้นมาเสียงหนึ่ง ประตูได้เปิดออก