ถ้าหากว่าติดตามโห้หลีเฉินที่จะเป็นผู้นำตระกูลในอนาคต สถานการณ์ของเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง จนถึงขั้นเป็นเพราะความเชื่อใจของเย้นหว่าน เขาก็จะถูกมอบภารกิจสำคัญให้จนกลายเป็นคนสนิทของผู้นำตระกูลในอนาคต
อย่างนั้นปณิธานและความคิดทั้งหมดของเขาล้วนสามารถเป็นจริงได้ในสักวันหนึ่ง
เทียบกับการใช้ชีวิตที่อึดอัดทรมาน โง่เขลาเบาปัญญาในตอนนี้แล้ว อนาคตแบบนั้นมากพอที่จะจุดประกายเลือดร้อนภายในร่างกายของเขาได้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ท่านอาวุโสแปดก็ถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งกะทันหัน โค้งกายเก้าสิบองศาให้เย้นหว่านด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง
“ได้รับความเชื่อใจจากคุณเย้น หลังจากนี้ผมจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ความช่วยเหลือกับนายน้อยอย่างสุดความสามารถ”
เย้นหว่านยิ้ม ในที่สุดก็สามารถวางหัวใจที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศได้อย่างสงบเสียที
เธอยังเป็นกังวลว่าท่านอาวุโสแปดจะไม่ตอบรับ
ความจริงแล้วนอกจากการทำความรู้จักกันในเวลาปกติจะรู้สึกว่านิสัยของท่านอาวุโสแปดไม่เลว เย้นหว่านยังรู้มาอีกว่าความจริงแล้วท่านอาวุโสแปดเป็นคนที่มีฝีมือความสามารถอย่างมากคนหนึ่ง แต่จนปัญญาที่มีความเห็นต่างในบางเรื่องกับหยูฉู่สอง ทั้งยังยืนหยัดในความคิดเห็นของตนเอง จึงถูกหยูฉู่สองโยนเข้าตำหนักเย็น
เมื่อโยนเข้าไปก็ผ่านมาหลายปี สถานการณ์ของเขาจึงแย่ลงทุกวัน
และบ่อยครั้งที่ถูกผู้อาวุโสท่านอื่นๆข่มเหงรังแก เป็นแบบนี้มาเนิ่นนานจนกระทั่งคนรับใช้ที่เรืองอำนาจบางคนล้วนกล้าชักสีหน้าใส่เขาแล้ว
สาเหตุที่เย้นหว่านรับเขาให้กับโห้หลีเฉิน ประการแรกเป็นเพราะระหว่างที่ทำความรู้จักกันรู้สึกว่าท่านอาวุโสแปดเป็นคนดี การที่คนแบบนี้ทุกข่มเหงรังแกในทุกวัน ทำให้ทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงอยากจะยื่นมือไปช่วยเขาสักครั้ง
ประการที่สอง การที่โห้หลีเฉินอยู่ในตระกูลหยู โดยไม่มีอำนาจเป็นของตัวเองจะกลายเป็นช่องโหว่เอาได้ แม้ว่าสืบทอดตระกูลหยูแล้วก็ไม่สามารถผ่อนคลายได้ ถ้าหากว่าสามารถพัฒนาคนที่มีความสามารถและมีตำแหน่งให้กลายเป็นคนสนิทได้ สถานการณ์ทางตำแหน่งของเขาในตระกูลหยูก็จะมั่นคงขึ้นมาก
อย่างน้อยก็จะไม่เกิดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในคราวนั้นอีก ที่ถูกยกให้ผ่านทุกเสียงในตอนที่ถูกถอดตำแหน่งผู้สืบทอด
……
พริบตาเดียวก็ถึงช่วงเวลาที่จะไปสู่ขอแล้ว
ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา เย้นหว่านก็ทั้งยินดีและตื่นเต้น จากมาตั้งหลายเดือนแล้ว ในที่สุดเธอก็สามารถกลับบ้านไปพบคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว
ความรู้สึกของสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ทำให้เธอคิดถึงกงจืออวีและเย้นเจิ้นจื๋อเป็นอย่างมาก
หลังจากตื่นนอนแล้ว เย้นหว่านก็รีบอาบน้ำแต่งหน้าให้เรียบร้อยด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ลากสัมภาระที่เก็บเรียบร้อยแล้วออกมา
เมื่อมองดูเวลาก็ใกล้ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
เธอลงไปกินอาหารเช้ามื้อหนึ่ง ก็สามารถออกเดินทางได้แล้ว
เย้นหว่านวางกระเป๋าเดินทางไว้ในห้อง หลังจากนั้นก็ไปเปิดประตู
“แกร๊กๆ”
เธอบิดลูกบิดประตูติดกันหลายครั้ง แต่กลับพบเรื่องน่าประหลาดใจว่าเปิดไม่ออก!
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?
ทำไมห้องของเธอถึงได้ถูกคนล็อกจากด้านนอก
เย้นหว่านสงสัยเป็นอย่างมาก และออกแรงตบลงที่บานประตูห้อง ตะโกนถามเสียงดังว่า
“ข้างนอกมีคนรึเปล่า เปิดประตูให้ฉันหน่อย”
“มีใครอยู่ไหม”
“เปิดประตูสิ มีใครอยู่ไหม?”
บริเวณด้านนอกชั้นนี้ของตึกแห่งนี้ ปกติจะมีบอดี้การ์ดเดินลาดตระเวนอยู่บ่อยๆ ขอเพียงแต่ตะโกนเสียงดัง บอดี้การ์ดก็จะวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
แต่ครั้งนี้ เย้นหว่านตะโกนเรียกอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีใครสนใจเธอ
ด้านนอกเงียบสงัด ราวกับไม่มีแม้กระทั่งเงาของภูตผี
เวลาผ่านไปนานยิ่งขึ้น เย้นหว่านก็ยิ่งตื่นตระหนก และรับรู้ได้ตามจิตใต้สำนึกอย่างเลือนรางว่าเรื่องนี้ผิดปกติ
บางทีอาจจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น
เธอออกไปไม่ได้ จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา คิดจะโทรศัพท์หาโห้หลีเฉิน
แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือ การที่โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ!
Wifi ก็ไม่มีเช่นกัน
เย้นหว่านมองโทรศัพท์มือถือด้วยความมึนงง ขมับเต้นตุบๆอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นจิตใจก็เกิดความสับสนวุ่นวายไปหมด
เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!
จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ!
ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณหรือ Wifi ของตระกูลหยูล้วนดีมากมาตลอด ไม่เคยถูกตัดขาดมาก่อน
ตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ประตูห้องเธอถูกล็อก สัญญาณก็ถูกตัด ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับถูกคุมขังเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งคิด เย้นหว่านก็ยิ่งตื่นตระหนก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ข้างนอกมีใครอยู่หรือไม่ เปิดประตูให้ฉันหน่อย!”
เย้นหว่านตะโกนเสียงดังอย่างลนลาน ออกแรงบิดลูกบิดประตู เสียง “แกร๊กๆ” ดังสะท้อนกลับมา แต่กลับขยับบานประตูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ทำแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่อง ยิ่งรอ เธอก็ยิ่งตื่นตระหนก เป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ด้านนอก
แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วยังสามารถขังเธอเอาไว้ได้ จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเธอโดยตรงอย่างแน่นอน
ไม่ใช่โห้หลีเฉิน ก็คือเย้นโม่หลิน
ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ
เธอไม่สามารถนั่งรอความตายอยู่ที่นี่ได้
เย้นหว่านมองไปรอบๆแล้วหยิบเก้าอี้ขึ้นมาตัวหนึ่ง เธอยกมันขึ้นสูง หลังจากนั้นก็เขวี้ยงไปทางบานประตู
“ปัง ปัง ปัง”
เสียงของหนักกระทบดังขึ้นในแต่ละครั้ง
แต่คุณภาพของประตูดีเกินไป เก้าอี้ถูกกระแทกเสียจนเปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว แต่บานประตูมีเพียงแค่ตำหนิเล็กน้อยเท่านั้น แทบจะไม่มีร่องรอยการถูกกระแทกให้พังจนเปิดออกเลยแม้แต่น้อย
เย้นหว่านเหนื่อยจนหอบ มองบานประตูที่ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกไม่ดีเสียแล้ว
อาศัยพละกำลังของเธอ เกรงว่าจะเปิดประตูบานนี้ไม่ได้
ทำอย่างไรดี?
คงไม่สามารถนั่งรออยู่ที่นี่เฉยๆโดยที่ไม่รู้อะไรเลยหรอกนะ
เย้นหว่านร้อนรนจนขยำกลุ่มเส้นผม ในเวลานี้เองที่มีเสียง “เพล้ง” ของบานกระจกแตกดังขึ้น
เสียงนี้ไม่เหมือนกับเสียงแก้วตกแตกธรรมดา แต่คล้ายกับว่ามีของหนักกระแทกเข้ากับกระจกบานใหญ่จนทำให้เกิดเสียงบานหน้าต่างแตกขึ้น
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?
เย้นหว่านยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย วิ่งตรงไปยังบานหน้าต่างทันที
ที่เธออยู่นี้คือชั้นห้า เมื่อมองลงไปก็เห็นบอดี้การ์ดชุดดำลอยออกมาจากบานหน้าต่างตกกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงที่ด้านล่างบริเวณชั้นสองได้พอดี
บนพื้นทั้งหมดล้วนเป็นเศษบานกระจกที่แตก บอดี้การ์ดสองคนคล้ายกับว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดขณะที่กลิ้งตัวไปมาอยู่บนพื้น
เย้นหว่านมองอย่างตกตะลึง ขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที
นี่คือ การชกต่อยทะเลาะวิวาทหรือ
พวกเขากำลังชกต่อยกับใครกัน ด้านในเป็นถึงตระกูลหยูเลยนะ
อีกทั้ง เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้ว ห้องที่บอดี้การ์ดลอยออกมาก็เป็นห้องที่พี่ชายเธอ เย้นโม่หลินพักอยู่พอดี
เย้นหว่านเครียดจนร่างกายสั่นระริก เป็นกังวลและหวาดกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับเย้นโม่หลินหรือไม่
“เฮ้ มีอะไรกันหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นในห้องพี่ชายฉันหรือ ใครจัดการพวกคุณจนกระเด็นออกมากัน?”
เย้นหว่านตะโกนถามชายสองคนที่นอนอยู่บนพื้นเสียงดังด้วยความกระวนกระวาย
หนึ่งในชายที่นอนหงายอยู่มองมาที่เย้นหว่าน สีหน้าดูไม่ดีเป็นอย่างมาก “ใช่……อ๊า!”
เขายังไม่ทันจะพูดจบ จู่ๆก็มีบอดี้การ์ดคนหนึ่งบินออกมาจากภายในห้องกระแทกลงบนตัวเขาเข้าอย่างจังจนทำให้เขาหมดสติไป
ส่วนบอดี้การ์ดที่ลอยออกมาคนนั้น ในเวลานั้นทั่วทั้งตัวก็เต็มไปด้วยเลือด หมดสติไปในสถานที่เกิดเหตุ โดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเช่นกัน
บอดี้การ์ดอีกคนที่นอนอยู่บนพื้นในตอนนี้ ก็อยู่ในสภาพตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ลักษณะท่าทางแบบนั้น การจะอ้าปากเอ่ยพูดยิ่งเป็นไปได้ยาก
จึงไม่มีใครตอบคำถามเย้นหว่านได้อีก
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในห้องของเย้นโม่หลินก็ยังมีเสียง “เพล้งๆๆ” ดังลอยออกมาไม่หยุด เป็นเสียงของตกแตก เป็นเสียงชกต่อยกัน
ถัดจากนั้น เสียงนั้นก็ค่อยๆตรงไปยังทิศทางของประตู มีระยะห่างไกลจากเย้นหว่านขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับว่าคนที่อยู่ด้านในล้วนหนีออกจากห้องไปแล้ว
รอบด้านเริ่มเงียบสงัด
แต่ใจของเย้นหว่านกลับยังคงสงบไม่ลง เหงื่อเย็นบนหน้าผากรินไหลไม่หยุด เป็นกังวลเสียจนหัวใจจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว
สรุปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ทำไมถึงมีการต่อสู้กันภายในห้องของเย้นโม่หลิน?
สถานการณ์ของเย้นโม่หลินในตอนนี้เป็นอย่างไร?
ซ้ำร้ายเย้นหว่านก็ถูกล็อกให้อยู่แต่ภายในห้อง สัญญาณถูกตัด เย้นหว่านตื่นตระหนกจนรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย