“คุณหนูเย้นไม่ต้องคิดมากนะ เท่าที่ผมได้รับข้อมูลมา ตอนนี้คนของท่านประมุขยังจับตัวคุณชายเย้นไม่ได้ ผมให้คนผูกสัญญาณโทรศัพท์ให้ใหม่แล้ว ตอนนี้ โทรศัพท์ของคุณน่าจะใช้ได้แล้ว”
กู้คืนสัญญาณ หมายความว่าเธอจะสามารถติดต่อพวกเย้นโม่หลินได้
เย้นหวานดีใจขึ้นมาในชั่วขณะ ยัดอาหารเข้าปากอย่างไม่สนสิ่งใด จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์ที่พกติดตัวออกมา กดวีดิโอคอลไปหาเย้นโม่หลินอย่างไม่ให้เสียเวลา
เสียงรอสายดังอยู่สักพัก ปลายสายก็กดรับ
แต่หน้าจอของเธอกลับดำสนิท มองอะไรไม่เห็นเลย
เย้นหวานตะโกนอย่างร้อนใจ “พี่คะ ฉันเสี่ยวหว่านนะ พี่เป็นยังไงบ้าง?”
ต่อมา เสียงกุกๆกักๆก็ดังขึ้นมา หลังจากเสียง “แป๊ะ” ไฟก็สว่างขึ้น
หน้าจอพลันปรากฏใบหน้าหล่อเหลาชวนหายใจติดขัดของเย้นโม่หลิน
ใบหน้าขาวใส หล่อเหลาไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเห็นเขา กรอบตาของเย้นหว่านก็แดงก่ำ หยดน้ำตาใกล้จะร่วงหล่นเต็มที
เย้นโม่หลินรู้สึกกังวล จึงรีบพูดขึ้นมาว่า
“เสี่ยวหว่าน แกเป็นอะไรไป? โดนรังแกเหรอ? หรือว่าหยูฉู่สองทำร้ายแก? แกบอกพี่มา พี่จะกลับไปเล่นมันให้ตาย”
เย้นหว่านส่ายหน้า
เมื่อได้ยินเย้นโม่หลินพูดออกมาอย่างมีกำลังเต็มเปี่ยมแบบนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกแสบจมูก โชคดีที่ตอนนี้เย้นโม่หลินสบายดี ดูจากสภาพ แผลคงหายดีขึ้นเยอะแล้ว
เธอกลืนก้อนสะอื้นแล้วพูดว่า “พี่ ฉันไม่เป็นอะไร โห้หลีเฉินดูแลฉันดีมากๆ แม้แต่หน้าฉันหยูฉู่สองก็ไม่ได้เห็นหรอก
ตอนนี้เขาควบคุมอำนาจอีกครึ่งหนึ่งของตระกูลหยู หยูฉู่สองไม่กล้าทำอะไรเราหรอก พี่วางใจได้”
สีหน้าของเย้นโม่หลินเครียดเกร็ง เมื่อได้ยินแบบนั้นถึงได้คลายสีหน้าลงช้าๆ
เย้นหว่านเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “พี่ ตอนนี้พี่เป็นยังไงบ้าง? พ้นอันตรายแล้วใช่ไหม? ถึงตระกูลเย้นแล้วหรือยัง? ข้างหลังพี่คือเต้นท์เหรอ?”
คำถามติดต่อกัน จนเย้นโม่หลินไม่รู้ว่าต้องตอบอันไหนก่อนดี
เขาทำได้เพียงตอบทีละคำถามอย่างใจเย็น
“ตอนนี้ฉันสบายดี ถึงพวกนั้นจะยังตามมา แต่ตราบใดที่พวกฉันไม่หยุด พวกเขาก็ตามไม่ทันหรอก ทางกลับตระกูลเย้นถูกปิดแล้ว ตอนนี้พวกฉันกำลังเดินอ้อมไปอีกทาง ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะถึงตระกูลเย้น
ส่วนข้างหลังฉันคือเต้นท์นั่นแหละ ฉันออกมาตั้งแคมป์พักผ่อนข้างนอกไม่รู้เหรอ”
เขาตอบทีละคำถามเหมือนเด็กประถม ทำให้เย็นหว่านทั้งอยากขำและร้องไห้
ความหนักอึ้งในอกพลันเบาลงในทันที
โห้หลีเฉินพูดถูก คนเก่งกาจอย่างเย้นโม่หลิน ขอแค่ได้ออกไปจากตระกูลหยู ต่อให้คนพวกนั้นตามฆ่ายังไง ก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก
ตอนนี้โห้หลีเฉินกอบกุมอำนาจอีกครึ่งหนึ่งของตระกูลหยูแล้ว ถ้าหยูฉู่สองจะใช้กำลังคนก็คงมีจำกัด ถือว่าให้โอกาสพวกเย้นโม่หลินได้หายใจหายคอบ้าง
เย้นโม่หลินเอ่ยปลอบว่า “เสี่ยวหว่าน แกอย่าห่วงฉันเลย ฉันรับมือได้ ทางบ้านก็ส่งคนมาหนุนแล้ว พวกฉันปลอดภัยไร้ปัญหาแน่นอน
แกต่างหากที่ต้องระวังระหว่างที่อยู่ที่นั่น ทางที่ดีอย่ามีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับหยูฉู่สองเด็ดขาด รอพี่กลับไปได้ แล้วจะหาโอกาสพาแกออกมานะ”
แม้ว่าเย้นหว่านจะอยู่กับโห้หลีเฉิน และมีโห้หลีเฉินคอยปกป้อง แต่ยังไงตระกูลหยูก็คือถิ่นเสือแดนหมาป่า มีอันตรายอยู่รอบด้าน เพราะงั้นพาเย้นหว่านกลับมาที่บ้านน่าจะปลอดภัยกว่า
ถึงแม้ตระกูลเย้นจะถูกโจมตี แต่ตราบใดที่ตระกูลเย้นยังไม่ล้ม เย้นหว่านก็จะปลอดภัย
และตระกูลเย้นก็ถือว่ายิ่งใหญ่พอตัว ต่อให้หยูฉู่สองเกณฑ์กำลังคนมาทั้งตระกูล ก็ไม่สามารถทำลายตระกูลเย้นได้ง่ายๆ
ไม่แน่ ตระกูลหยูอาจจะเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง
เย้นหว่านพยักหน้ารัวๆ เมื่อได้รับการยืนยันจากเย้นโม่หลิน ก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
ระยะนี้ กว่าเธอจะทำใจให้ผ่อนคลายได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ
เธอถามต่อว่า
“พวกจื่อเฟยก็สบายดีใช่ไหม นอนอยู่อีกเต้นท์เหรอ?”
“เอ่อ……….”
ใบหน้าหล่อเหลาของเย้นโม่หลินปรากฏแววล่อกแล่กน่าสงสัย
เย้นหว่านกำลังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้เอง นอกจากใบหน้าของเย้นโม่หลิน ก็มีใบหน้าสวยๆโผล่เข้ามาในจอโทรศัพท์
นั่นก็คือกู้จื่อเฟย
เธอมองหน้าจออย่างเศร้าๆ พูดเสียงแผ่วเบาว่า
“เสี่ยวหว่าน เธอมันใจร้าย ฉันก็นึกว่าเธอจะไม่คิดถึงฉันแล้วเสียอีก ฉันรออยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็ถามถึงฉันสักทีนะ”
เมื่อเห็นหน้าแดงระเรื่อชุ่มฉ่ำ และท่าทางขึงขังของกู้จื่อเฟย ก็รู้ในทันทีว่าการหนีตายในครั้งนี้ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แค่ตัวเปียกชุ่มเหงื่อเท่านั้นเอง
เย้นหว่านเบาใจลงในที่สุด
เมื่อมองเย้นโม่หลินที่ตอนแรกอยู่ติดหน้าจอ แต่พอกู้จื่อเฟยเข้ามาใกล้ ก็สะดุ้ง แล้วรีบถอยหลังในทันที
จนหน้าของเขาแทบจะหลุดจากเฟรม
เย้นหว่านแอบเห็นเย้นโม่หลินหูแดงจางๆ
นี่ กู้จื่อเฟยทำอะไรลงไป ทำไมถึงทำให้พี่ชายเธอมีปฏิกิริยาเหมือนจะ “เขิน” อย่างนี้?
“นี่ เสี่ยวหว่าน เธอไม่รักฉันแล้วใช่ไหม? ตั้งแต่ฉันมาเธอยังไม่พูดสักคำเลย!”
กู้จื่อเฟยแทบระเบิด
เสียแรงที่เธออุตส่าห์เป็นห่วงความปลอดภัยของเย้นหว่านในระหว่างที่เดินทาง
เย้นหว่านดึงสติกลับมา แล้วรีบส่ายหน้า พูดยิ้มๆว่า
“ฉันเห็นเธอมีแรงแต๊ะอั๋งพี่ชายฉันแบบนี้ ฉันก็รู้แล้วว่าเธอสบายดี”
กู้จื่อเฟยชะงัก ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย
จากนั้นก็เอ่ยพูดขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจว่า “ฉันแต๊ะอั๋งพี่ชายเธอตรงไหน? ฉันเป็นผู้หญิงนะ””
เย้นหว่านพยักหน้ารับอย่างปลอมๆ “ใช่ๆๆ เธอเป็นผู้หญิง พี่ชายฉันต่างหากที่แต๊ะอั๋งเธอ”
เย้นโม่หลิน “………..”
เขาน้อมรับผิดอย่างจริงใจ
ดวงตาของเย้นหว่านพลันเปลี่ยน หรี่ตาแล้วเอ่ยถามว่า
“ใช่สิ ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอมาอยู่ในเต้นท์กับพี่ชายฉันได้ล่ะ? หรือว่า…พวกเธอ…….”
เย้นหว่านไม่พูดออกมา แต่จงใจลากเสียงยาว สื่อความหมายลับลมคมในออกมาในตัว
หูของเย้นโม่หลินพลันแดงซ่าน ใบหน้าหล่อเหลา เต็มไปด้วยความเลิ่กลั่ก
เขารีบอธิบายว่า
“แกอย่าเข้าใจผิด ฉันกับกู้จื่อเฟยไม่ได้ทำอะไรอย่างที่แกคิด เธอแค่กลัว ฉันก็เลยมาอยู่เป็นเพื่อนเธอสักพัก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้จื่อเฟยแข็งค้าง สายตาเฉี่ยวคมตวัดมองเย้นโม่หลินอย่างเย็นเฉียบ
อธิบายเร็วและชัดเจนขนาดนี้ กลัวว่าเย้นหว่านจะเข้าใจผิดว่าเขานอนกับเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังคิดที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับเธออีกเหรอ?
ไม่มีทางซะหรอก
กู้จื่อเฟยทำหน้าเจื่อน ท่าทางน้อยใจ ราวกับว่าใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มที
“พี่เย้น คืนนี้จะไม่นอนกับฉันเหรอ?”
ดวงตาของเย้นหว่านเป็นประกายในทันที คืนนี้? แปลว่าก่อนหน้านี้นอนด้วยกันหลายคืนแล้วสิ?
เธอสวมวิญญาณนักสอดรู้สอดเห็น เอ่ยพูดว่า “ก่อนหน้านี้พวกเธอก็นอนด้วยกันเหรอ?”
“ไม่ใช่”
“ใช่”
เย้นโม่หลินกับกู้จื่อเฟยตอบคนละอย่างออกมาพร้อมเพรียงกัน
จากนั้น พวกเขาก็มองหน้ากัน
เย้นโม่หลินมีสีหน้าอึดอัด
ส่วนกู้จื่อเฟยไฟลุกท่วมอก แต่ใบหน้ากลับตัดพ้อขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาใกล้จะหยดออกมาเต็มที
เย้นโม่หลินระเบิดตัวเองจนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ทำไม ต้องร้องไห้ด้วยล่ะ?
เหมือนเขาทำความผิดมหันต์ เริ่มลนลานเสียแล้วสิ