ประชุมไปประชุมมา ก็ใช้เวลาไปสองชั่วโมงกว่าๆแล้ว
แม้ว่าโห้หลีเฉินจะจัดเตรียมลูกน้องให้เฝ้ารอบๆบริเวณบ้าน เพื่อปกป้องเย้นหว่านไว้อย่างแน่นหนา แต่สถานการณ์ยุ่งเหยิงในตอนนี้ มรสุมซัดสาด อันตรายกระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุม ห่างกันแค่แป๊บเดียวเขาก็เป็นห่วงเย้นหว่านแล้ว
โห้หลีเฉินเดินเร็วมาก ไม่นานก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างรีบเร่ง
เมื่อเดินผ่านประตู เขาก็เอ่ยถามสาวใช้ว่า
“เย้นหว่านอยู่ไหน?”
“คุณหนูเย้นอยู่ตรงนั้นค่ะ”
เสียงของสาวใช้แผ่วเบา เธอชี้ไปยังตำแหน่งโซฟา
โห้หลีเฉินมองตาม ก็พบว่าตัวเล็กๆของเย้นหว่านกำลังนอนขดอยู่บนโซฟา ใบหน้ารูปไข่หันมาทางประตู เหมือนรออยู่อย่างนั้นมาตลอด
แต่อาจเป็นเพราะรอนานเกินไป ทั้งยังน่าเบื่อ เธอจึงหลับไปทั้งอย่างนั้น
ขนตาหนาๆที่ประดับอยู่บนดวงตา ยิ่งทำให้เธอดูน่ารักเป็นพิเศษ
เพียงแต่คิ้วเรียวสวยของเธอ กลับขมวดมุ่นอย่างไม่สงบ
โห้หลีเฉินเจ็บแปล็บในใจขึ้นมาทันที สถานการณ์ในตอนนี้ ทำให้ในแต่ละวันเย้นหว่านต้องพลอยกังวลไปด้วย
ต้องติดอยู่ในถ้ำเสือ อีกอย่างหยูฉู่สองก็ตั้งใจตัดสัญญาณให้ขาดจากโลกภายนอก หลายวันมานี้โทรศัพท์ของเย้นหว่านจึงไม่มีสัญญาณ ใครก็ไม่สามารถติดต่อได้
แต่ว่า เขาจะไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้นานหรอก
โห้หลีเฉินก้าวเดินเบาๆ มาหยุดอยู่ข้างโซฟา ลูบผมของเย้นหว่านด้วยการกระทำแสนอ่อนโยน พร้อมกับก้มตัวลงไปจรดปากลงบนหน้าผากของเธอ
“ไม่ต้องห่วงนะ อีกไม่นานมันจะดีขึ้นแน่ๆ”
เขาจะให้ชีวิตที่สงบสุขแก่เธอ
จากนั้น โห้หลีเฉินก็อุ้มเย้นหว่านขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องนอน
เขาวางเย้นหว่านลงบนเตียงช้าๆ ปรับอุณหภูมิในห้องให้พอดี พร้อมกับห่มผ้าให้เธอ จากนั้นถึงได้หันหลังเตรียมเดินออกไป
ในตอนนี้เอง มือเล็กๆก็จับมือใหญ่ของเขาเอาไว้
“อย่าไป……….”
เย้นหว่านงึมงำเสียงเบา
โห้หลีเฉินก้มหน้ามอง ก็พบว่าเย้นหว่านยังคงหลับสนิท แต่กลับดูกระวนกระวาย ซ้ำยังจับมือของเขาเอาไว้แน่น
ฝันร้ายงั้นเหรอ?
โห้หลีเฉินรีบนั่งลงบนเตียงทันที พลิกมือกอบกุมมือเล็กๆของเธอเอาไว้ เอ่ยปลอบเสียงแผ่วเบาว่า
“ผมอยู่นี่ ไม่ไปไหนแล้ว”
เสียงนั้นราวกับมีเวทมนตร์ ทำให้เย้นหว่านค่อยๆสงบลงในที่สุด
ผ่านไปสักพัก เธอถึงได้หลับไปอย่างสนิท
คราวนี้โห้หลีเฉินไม่ได้ออกไปไหน เขานั่งอยู่ข้างเตียง กอบกุมมือเล็กของเธอเอาไว้แน่น เฝ้ามองใบหน้ายามหลับของเธอ
ตั้งแต่ที่เย้นโม่หลินถูกตามฆ่า แม้ว่าภายนอกเย้นหว่านจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่โห้หลีเฉินกลับรู้ดี ว่าในทุกๆวันเธอกังวลอยู่ตลอด
ตกกลางคืนอยากนอนก็นอนไม่ค่อยหลับ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนอนหลับสนิทในรอบสองสามวันมานี้ กระนั้นเขาก็ยังต้องอยู่เฝ้า เพื่อให้เธอหลับได้อย่างเต็มอิ่ม
พลบค่ำ
ขนตาของเย้นหว่านไหวระริก จากนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
สิ่งแรกที่สายตาพร่าเบลอของเธอเห็นก็คือชายหนุ่มที่ใช้มือค้ำคางหลับตาอยู่ข้างๆ
บนใบหน้าดูดีนั้น มองเพลินเป็นไหนๆ
เป็นคนที่เธอรักมาก และเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ
เย้นหว่านมองเขาจนพอใจ จากนั้นถึงได้มองท้องฟ้าและสภาพแวดล้อมรอบๆ
ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว และตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องนอน
นี่เธอหลับไปเกือบทั้งวันเลยเหรอ?
เธอนวดขมับ ว่าแล้วทำไมรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย
“ตื่นแล้วเหรอ?”
เธอขยับตัวเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้โห้หลีเฉินรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
โห้หลีเฉินมองมาที่เธอ สายตาอบอุ่นราวกับโอบกอดเธอเอาไว้ทั้งตัว
เย้นหว่านพยักหน้า เมื่อเห็นฝ่ามือแดงๆของโห้หลีเฉิน ก็ดึงเข้ามาลูบอย่างรู้สึกสงสาร
“คุณนั่งอยู่อย่างนี้นานเท่าไหร่แล้ว? ทำไมไม่นอนบนเตียงดีๆ”
“ผมไม่คิดว่าคุณจะหลับนานขนาดนั้นนี่”
โห้หลีเฉินยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา บีบจมูกของเย้นหว่าน “เจ้าหมูน้อย”
เย้นหว่านหน้าแดงอย่างเขินอาย จากนั้นก็จับมือของเขาออก
ใครจะไปคิดว่าตัวเองจะนอนหลับนานขนาดนี้
ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เธอนอนแทบจะทั้งวัน เธอไม่เคยนอนหลับนานขนาดนี้มาก่อนเลย
“เอาล่ะ หิวแล้วหรือยัง? เตรียมตัวลงไปกินข้าวกันเถอะ”
โห้หลีเฉินยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ลุกได้ไม่ทันไร ก็ตัวแข็งทื่อ
นั่งนานเกินไป ตะคริวเลยกินนิดหน่อย
เย้นหว่านมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม เธอโดดลงจากเตียง เดินเข้าไปในห้องน้ำพลางบ่นพึมพำว่า
“ที่จริงคุณควรปลุกฉันนะ นอนกลางวันนานขนาดนั้น แล้วกลางคืนฉันจะหลับยังไง”
ถึงตอนนั้นคงหลับตีสี่ตีห้า ฟ้าเหลืองตายแน่
โห้หลีเฉินยิ้มอย่างจนใจ “คราวหน้าผมจะปลุกแล้วกัน”
นานๆทีกว่าเย้นหว่านจะได้นอนหลับอย่างเพียงพอ เขาจะใจร้ายปลุกเธอได้ยังไง
ได้เห็นเธอมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม เขาก็อารมณ์ดีแล้ว
หลังจากเย้นหว่านจัดการตัวเองเสร็จก็ลงมาข้างล่าง รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นสองคนคุ้นเคย ท่านอาวุโสรองกับท่านท่านอาวุโสแปดนั่นเอง
พวกเขากำลังนั่งดื่มชาอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไหร่กันแล้ว
เมื่อเห็นโห้หลีเฉินกับเย้นหว่านลงมา พวกเขาก็รีบลุกขึ้นอย่างลิงโลด ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“นายน้อย คุณหนูเย้น”
เย้นหว่านยกยิ้มสุภาพ พร้อมกับผงกหัวตอบรับ
โห้หลีเฉินพูดเสียงนิ่งว่า “รอนานไหม”
จากนั้น เขาก็จูงมือเย้นหว่านไปยังห้องทานอาหาร ไม่คิดหยุดดื่มชาในห้องรับแขก
เขาเอ่ยพูดออกมาว่า “ทานข้าวก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าพวกคุณยังไม่ทาน ก็มาทานด้วยกัน”
ทานด้วยกัน?
ทั้งสองคนพลันนิ่งอึ้ง ทั้งตกใจและมึนงง รีบโบกมือปฏิเสธว่า “ไม่เป็นไรๆ พวกเราจะไปนั่งทานข้าวกับพวกนายน้อยได้ยังไง พวกคุณทานกันก่อนเลย พวกเรานั่งรออยู่ที่นี่ก็ได้”
การแสดงออกของท่านอาวุโสรองกับท่านอาวุโสแปด บ่งบอกว่าพวกมองโห้หลีเฉินเป็นเจ้านายของพวกเขาอย่างสมบูรณ์
เย้นหว่านอ่อนไหว รู้สึกชื่นชมพวกเขายิ่งกว่าเดิม
เธอกระตุกแขนเสื้อโห้หลีเฉิน พูดเสียงเบาว่า “ให้พวกเขามาทานด้วยกันเถอะ”
เธอดูออก ว่าท่านอาวุโสรองกับท่านอาวุโสแปดมีเรื่องอยากคุยกับโห้หลีเฉิน ตอนที่เธอหลับ ก็ไม่รู้ว่ามานั่งรอที่ห้องรับแขกนานเท่าไหร่แล้ว
ถึงยังไง คงยังไม่ได้กินข้าวเย็นแน่ๆ เวลานี้แล้ว คงเริ่มหิวกันแล้วล่ะ
โห้หลีเฉินพยักหน้า หันไปออกคำสั่งกับทั้งสองคนว่า
“มากินด้วยกันเถอะ”
คำพูดง่ายๆแต่เฉียบขาด ทำให้ท่านอาวุโสรองและท่านอาวุโสแปดเอ่ยปฏิเสธไม่ออก
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าแค่จะมาปรึกษาธุระ แต่กลับต้องมาฝากท้องมื้อค่ำด้วยเสียอย่างนั้น
เลยรู้สึกเกรงใจจริงๆ
ทั้งสองนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างเกร็งๆ
เย้นหว่านที่นอนมาทั้งวัน จึงหิวมากๆ หลังจากเอ่ยชักชวนแขกทั้งสองคนอย่างมีมารยาทแล้ว เธอก็เริ่มซดน้ำซุป ลงมือทานข้าว
ความหิวมีมากหลายเท่า
“ทานเถอะ”
โห้หลีเฉินมองคนทั้งสอง จากนั้นถึงได้ลงมือทานข้าว
ท่านอาวุโสรองกับท่านอาวุโสแปดมองหน้ากัน แม้จะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ต้องหยิบตะเกียบขึ้นมาลงมือทาน
บนโต๊ะอาหารเงียบมาก ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้ยินเพียงเสียงเคี้ยวเบาๆ
เย้นหว่านอาศัยช่องว่างในระหว่างทานข้าว เอ่ยพูดขึ้นมาว่า
“ฉันเกือบลืมถามไปเลย ผลการประชุมวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ก็ดี”
โห้หลีเฉินนำเรื่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับการประชุมมาเล่าให้เย้นหว่านฟัง
หลังจากที่ได้ฟัง เย้นหว่านก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกันนั้นก็รู้สึกหวั่นใจ แม้ว่าตอนนี้ทางโห้หลีเฉินจะปลอดภัยได้แค่ชั่วคราว แต่ถ้าหยูฉู่สองยังไม่ถอดใจในการตามฆ่า เย้นโม่หลินก็ยังตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี
ท่านอาวุโสแปดครุ่นคิดในใจ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า