หยูฉู่สองเริ่มเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ โห้หลีเฉินก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นมาเช่นกัน
เย้นหว่านรู้ว่าในแต่ละวันเขาเหน็ดเหนื่อยมาก หากไม่สร้างเรื่องที่ส่งผลกระทบ หรือรบกวนเขาได้ ก็จะเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงเอง จึงไม่เคยเอ่ยปากขอร้องให้เขาอยู่ที่ตึกเป็นเพื่อนเธอ
เพียงแต่บางทีด้านนอกนั้นล้วนเต็มไปด้วยภัยอันตราย เธอไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ จึงมีความรู้สึกว่าถูกขังเอาไว้ อารมณ์ความรู้สึกในแต่ละวันของเธอจึงไม่ค่อยดีนัก
ในใจก็เต็มไปด้วยความคาดหวังที่โห้หลีเฉินจะสามารถอยู่เป็นเพื่อนเธอได้
แต่เธอกลับไม่เคยเอ่ยถึง ทุกครั้งหลังจากที่โห้หลีเฉินออกไปจัดการงานต่างๆ จิตใจของเธอมักจะแห้งเหี่ยว ไร้ชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ความอยากอาหารจึงไม่ดีตามไปด้วย
นอนนั้นสามารถนอนหลับได้ อย่างน้อยทุกวันล้วนมากกว่าแต่ก่อนหลายชั่วโมง
วันนี้ ขณะที่เย้นหว่านนั่งเบื่อหน่าย กอดหนังสือการออกแบบเครื่องแต่งกายเอาไว้แล้วกำลังจะเคลิ้มหลับอยู่นั้น ประตูห้องกลับถูกคนแง้มเปิดเป็นรอยแยกเล็กๆ
สาวใช้โผล่หน้าออกมา
“คุณผู้หญิง คุณเย้นคะ”
“อืม? ทำไมหรือ?”
เย้นหว่านสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น มองไปทางที่เสี่ยวย่าคอยดูแลในหลายวันมานี้ด้วยความสงสัย
เสี่ยวย่าแย้มรอยยิ้ม เอ่ยด้วยความยินดีว่า
“เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ชั้นบน ฉันเห็นนายน้อยกำลังเดินมาทางนี้แล้ว นายน้อยกลับมาแล้วค่ะ”
“จริงหรือ?”
เย้นหว่านโยนหนังสือทิ้งด้วยความดีใจ ลุกขึ้นยืนจากโซฟาทันที
บางทีเธออาจจะออกแรงให้ลุกขึ้นยืนมากเกินไป จึงได้มีอาการวิงเวียนศีรษะตาลายไปชั่วขณะจนเกือบจะล้มลง
“คุณเย้น คุณเป็นอะไรไปคะ”
สาวใช้วิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ ประคองเย้นหว่านอย่างเป็นกังวล
เย้นหว่านส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร อาจจะมีภาวะเลือดจาง เมื่อครู่ลุกขึ้นเร็วเกินไปหน่อย”
สาวใช้ถอนหายใจ “หลายวันมานี้คุณล้วนกินได้น้อยมาก และไม่ยอมให้พวกเราบอกกับนายน้อย ถ้าหากว่าร่างกายของคุณไม่บำรุงให้ดี จะทำอย่างไรดีคะ”
“เอาเถอะ ไม่ต้องกังวลแล้ว อีกครู่หนึ่งฉันจะกินให้เยอะหน่อย ฉันอารมณ์ดี จะต้องกินได้เยอะแน่นอน”
เย้นหว่านยิ้มระรื่น ปลอบประโลมสาวใช้ หลังจากอาการเวียนหัวดีขึ้นแล้ว ก็เดินออกไปด้านนอกด้วยความยินดี
แม้ว่าจะพบหน้ากันทุกวัน แต่ทุกครั้งที่ได้พบกับโห้หลีเฉิน เธอล้วนตื่นเต้นยินดีราวกับว่าไม่ได้พบหน้ากันนานมาก ทุกครั้งล้วนโผเข้าไปกอดเขาแน่น
เย้นหว่านเดินออกมาจากห้อง ยังเดินไม่ทันถึงบันไดก็มองลงไปที่ห้องโถงชั้นล่าง ยังไม่เห็นโห้หลีเฉินเข้ามา
จึงมองไปยังระเบียงทางเดินลาดเอียงตรงข้ามด้วยความประหลาดใจ โห้หลีเฉินกับเว่ยชีเดินตรงเข้าไปในห้องหนังสือ
เปิดประตูและปิดประตูอย่างรวดเร็ว
เย้นหว่านอึ้ง เขากลับมาแล้วทำไมถึงไม่มาหาเธอ แต่วิ่งไปห้องหนังสือแทน?
ในใจจึงเกิดความรู้สึกคับแค้นใจเล็กน้อย
แต่เมื่อลองคิดดู โห้หลีเฉินจะต้องพบเจอกับเรื่องเร่งด่วนอะไรแน่นอน ถึงต้องรีบจัดการ ดังนั้นถึงได้วิ่งตรงไปยังห้องหนังสือก่อน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อย่างนั้นเธอ……ก็จะไปเสิร์ฟกาแฟให้เขาแล้วกัน
แม้ว่าจะแยกกันไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่เธอก็อยากเจอเขามากจริงๆ ก็คือการที่เห็นเขาแล้วดีใจแบบนั้นแหละ
เย้นหว่านเดินลงไปที่ชั้นล่าง หยิบกาแฟที่สาวใช้ชงเสร็จแล้ว ยกขึ้นไปที่ชั้นบน
เพียงครู่เดียว เธอก็เดินไปถึงหน้าประตูห้องหนังสือแล้ว
เธอมักจะมาที่ห้องหนังสือโห้หลีเฉินบ่อยๆ เขาไม่เคยปิดบังเรื่องอะไรกับเธอ ปกติก็บอกเธอว่าไม่ต้องเคาะประตูก็สามารถเข้าไปได้
เย้นหว่านจึงค่อยๆเปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาตามปกติ ตอนที่กำลังแง้มประตูออกเตรียมตัวจะเข้าไปนั้น
กลับได้ยินเสียงด่าว่าด้วยความโมโหของโห้หลีเฉินดังลอยมาจากด้านใน
“คุณจัดการเรื่องนี้อย่างไรกันแน่? ให้คุณจับตามองหยูฉู่สองเอาไว้ ทำไมกระทั่งเรื่องเขาให้คนไปลอบฆ่าเย้นเจิ้นจื๋อก็ยังไม่รู้ล่วงหน้า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย้นหว่านก็ตะลึงค้างไป รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งทื่อทันที
เธอเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ลอบฆ่าเย้นเจิ้นจื๋อ?
คุณพ่อของเธอถูกคนลอบฆ่าหรือ
ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ของคุณพ่อเธอในตอนนี้เป็นอย่างไร……
“ขอโทษครับคุณผู้ชาย ผมประมาทเอง ผมคิดไม่ถึงว่าหยูฉู่สองจะจ้างวานคนไปลอบฆ่าเย้นเจิ้นจื๋อเป็นพิเศษ จึงทำให้เขาฉวยโอกาสนี้ได้”
เว่ยชีก้มศีรษะต่ำ
ตระกูลหยูแอบฝึกฝนคนจำนวนมากเป็นการส่วนตัว แต่ละคนล้วนมีฝีมือเทียบได้กับกองทัพทหารรับจ้างแนวหน้าของโลก กำลังคนเหล่านี้เมื่อถูกส่งออกไป ก็สามารถลอบสังหารจนเป็นฉากนองเลือดฉากหนึ่งได้ตามสะดวกแล้ว
เขาก็จับตาเฝ้ามองคนเหล่านี้มาตลอด
แต่คิดไม่ถึงว่าหยูฉู่สองจะไม่ใช้คนของตัวเอง แต่กลับไปจ้างวานคนข้างนอกให้ลอบจู่โจมเย้นเจิ้นจื๋อ
เย้นเจิ้นจื๋อก็ออกมารับเย้นโม่หลิน กำลังคนป้องกันข้างกายค่อนข้างน้อย จึงเป็นการเปิดโอกาสให้หยูฉู่สองลอบฆ่า
“สมควรตาย”
โห้หลีเฉินทุบมือลงบนโต๊ะอย่างแรง สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชานั้นหงุดหงิด “ตอนนี้สถานการณ์ของเย้นเจิ้นจื๋อเป็นอย่างไร”
“ไม่ค่อยดีครับ กระสุนนัดนั้นอาจจะยิงถูกหลอดเลือดหัวใจ…….”
“เพล้ง!”
เสียงถาดตามด้วยถ้วยกาแฟตกลงกระทบกับพื้นแตกกระจายไปทั่วดังขึ้น
กาแฟเข้มข้นไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้น ทำให้ฝ่าเท้าเย้นหว่านเปียกชุ่ม
ใบหน้าเธอซีดขาวราวกับเห็นผี ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวาดกลัว
โห้หลีเฉินตื่นตกใจ รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงพุ่งไปที่ประตูห้อง เปิดบานประตูห้องทันที
ก็เห็นเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก โห้หลีเฉินหัวใจบีบรัดแน่น
เขารีบเอ่ยว่า “เย้นหว่าน คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไป คุณลุงเขา……เย้นหว่าน!”
โห้หลีเฉินยังไม่ทันจะเอ่ยจบ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวสุดขีด
เขาก้าวขึ้นไปด้านหน้า รับเย้นหว่านที่หมดสติลงเอาไว้ในอ้อมแขนทันที
ใบหน้าเธอดูแล้วขาวซีดเป็นอย่างมาก ดวงตาปิดสนิทเพราะหมดสติ หางตายังมีน้ำตารินไหลอยู่
ร่างกายของเธอทั้งแข็งทื่อทั้งเย็นชืด เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วแน่นจนแทบจะฆ่าแมลงวันตัวหนึ่งตายได้
สมควรตาย เขาคิดไม่ถึงว่าจะถูกเย้นหว่านได้ยินเข้า
เขาอุ้มเย้นหว่านขึ้นมา ออกคำสั่งกับเว่ยชีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ติดต่อเย้นโม่หลิน ตรวจสอบสถานการณ์ของเย้นเจิ้นจื๋อโดยไม่ต้องสนใจว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าไร ตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเขาเป็นหรือตาย”
“ครับ คุณผู้ชาย”
เว่ยชีขมวดคิ้วแน่น มองไปทางเย้นหว่านที่อยู่ในอ้อมแขนโห้หลีเฉินด้วยจิตใจที่ไม่สงบและละอายใจ
เป็นเพราะเขาประมาท
ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าคิดได้ก่อน ค้นพบความเคลื่อนไหวของหยูฉู่สอง ก็สามารถเตือนตระกูลเย้นล่วงหน้าได้ ให้พวกเขาหลบเลี่ยงการลอบโจมตีให้ครั้งนี้ไป ดีร้ายอย่างไรก็มีการป้องกัน
ไม่ถึงกับต้องให้เย้นเจิ้นจื๋อถูกยิง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องตรวจสอบสถานการณ์ของเย้นเจิ้นจื๋อให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเย้นหว่านก็ต้องอกสั่นขวัญแขวน วิตกกังวลตามไปด้วย
โห้หลีเฉินอุ้มเย้นหว่าน เร่งฝีเท้าเดินกลับไปยังห้องของเธอ
เสี่ยวย่ากำลังรอปรนนิบัติอยู่ที่นอกห้อง เห็นเย้นหว่านหมดสติถูกอุ้มกลับมา ก็ตกใจจนสีหน้าซีดเผือดทันที
เธอเรียกด้วยความตื่นตระหนก
“คุณเย้นคะ คุณเย้น คุณเป็นอะไรไปคะ”
“ถอยไป”
โห้หลีเฉินสีหน้าทะมึนเป็นอย่างมาก ยิ่งไม่มีความคิดที่จะสนใจเสี่ยวย่า อุ้มเย้นหว่านเดินตรงเข้าไปในห้อง
และระหว่างทางมานั้น เขาก็เพิ่งค้นพบสิ่งที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า น้ำหนักของเย้นหว่านเบาลงไม่น้อย
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ผอมลงไปอย่างน้อยสองถึงสองกิโลครึ่ง
หลายวันมานี้เธอไม่ได้ผ่อนคลาย พักอยู่ในตึกด้วยความสบายใจ กินดีหลับสบาย ทำไมถึงได้ผอมลงกัน?
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม
เขาวางเธอลงบนเตียงด้วยความระมัดระวัง ฝ่ามือใหญ่จับมือเล็กของเธอไว้แน่น ปลอบประโลมเสียงเบาอยู่ข้างกายเธอ
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีเรื่องอะไรหรอก คุณพ่อของคุณจะไม่เป็นอะไร คุณวางใจได้”
แต่คิ้วของเย้นหว่านก็ยังคงขมวดแน่นจนเป็นรอย หน้าผากก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมาไม่หยุด
แม้ว่าเธอจะหลับไป แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ็บปวดทุกข์ทรมาน