“คำพูดในเครื่องบันทึกไม่จริง คำพูดของพวกเราตอนนั้นไม่ใช่อย่างนี้แน่ บางคำผมก็ไม่ได้พูด!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เจียงเป้ยนีพลันได้สติ ก่อนจะหาความหวังอีกเพียงนิด
เธอตำหนิกู้จื่อเฟยทันทีและพูดว่า
“คุณกู้ คุณหักหลังพี่เย้นก่อน ตอนนี้เห็นว่าเรื่องมันแดง ก็เลยทำบันทึกอัดเสียงปลอมมา เพื่อทิ้งชิวเจ๋อและเอาตัวเองให้รอดใช่ไหมละ? แผนการนี้ของคุณมันเห็นแก่ตัวเกินไปไหม? มันช่างน่าละอายเหลือเกิน”
หากยืนอยู่บนที่สูงแห่งศีลธรรม กู้จื่อเฟยที่ไม่เกรงกลัวติดป้ายที่ว่าไร้ความปราณีและไม่มีความชอบธรรม
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้ ก็เกิดความสับสน ไม่แน่ใจ
เสียงบันทึกนั่นปลอมหรือ?
พวกเขาไม่กล้าตัดสินใจเชื่อคำพูดอีกด้านของชิวเจ๋อ หันไปมองกู้จื่อเฟยอย่างสงสัย
กู้จื่อเฟยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว กลับสงบใจได้
“พวกคุณไม่ใช่คนแรกที่ได้ฟังเสียงบันทึก เสียงบันทึกนี่เป็นของจริงหรือไม่ พี่เย้นจะฟังไม่ออกเชียวหรือ?”
เธอพูดพลางหันไปมองเย้นโม่หลินด้วยสีหน้าทะเล้น ก่อนพูดอย่างออดอ้อน
“พี่เย้น คุณว่าเสียงบันทึกนี่ปลอมไหมคะ?”
ใบหน้าของเย้นโม่หลินเย็นชาราวกับน้ำแข็งเสมอ และหลังจากได้พบกับกู้จื่อเฟย ใบหน้าพลันละลายเล็กน้อยราวกับว่าน้ำแข็งละลายพบเจอกับความอบอุ่น
น้ำเสียงของเขาสงบและแน่วแน่
“เป็นของจริง”
ทุกคนพลันมั่นใจทันที
นายน้อยของครอบครัว ซึ่งเป็นบุคคลที่สูงส่ง มีคำพูดหนักแน่นน่าเชื่อถือ และไม่โกหกใคร
อีกอย่างเขาเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และไม่มีทางที่เขาจะโกหกว่ากู้จื่อเฟยไม่ได้นอกใจ
ดังนั้นเขาจึงยืนยันว่าบันทึกเสียงนี้เป็นความจริง100%
เมื่อผู้คนเชื่อ พวกเขาก็ยิ่งดูหมิ่นและขยะแขยงชิวเจ๋อมากขึ้นไปอีก
“จนถึงตอนนี้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่มีความเสียใจ แล้วยังใส่ร้ายว่าบันทึกเสียงของคุณกู้เป็นของปลอมอีก”
“คนแบบนี้ไม่มียาตัวไหนรักษาได้หรอก ในปากมีแต่คำโกหกปลิ้นปล้อน”
“ไม่รู้จักการแก้ไขกลับตัว ไม่รู้อะไรเลย!”
“นายน้อย เขาทำเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ ไม่สามารถให้อภัยเขาได้ ได้โปรดจัดการเขาด้วย”
“ได้โปรดจัดการเขา”
ทุกคนพูดไปในทางเดียวกัน
ใบหน้าของชิวเจ๋อซีดขาว หนังศีรษะของเขาชา และร่างกายของเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้
จัดการ? จะจัดการกับเขาอย่างไร?
เขาได้รับบาดเจ็บเช่นนี้แล้ว และหากถูกจัดการอีก เกรงว่าชีวิตจะหาไม่
ชิวเจ๋ออยู่ในความตื่นตระหนก มองไปทางเจียงเป้ยนี อย่างขอความช่วยเหลือ
เจียงเป้ยนีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่า ร่างกายสั่นเทา
เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องมันจะกลายเป็นอย่างนี้ไปได้
ในตอนนี้เธอจะสามารถทำอะไรได้อีก? พูดออกหน้าให้กับชิวเจ๋อ ก็เหมือนดึงดูดกลิ่นคาวเข้าตัวเอง ราวกับรนหาที่ตาย
เธอบังคับให้ตัวเองอยู่ในความสงบ ส่งสายตาให้ชิวเจ๋อ เพื่อให้เขาทำต่อไป
ตามคำร้องขอของทุกคน เย้นโม่หลินกลับมองไปทางกู้จื่อเฟย ก่อนจะถามด้วยเสียงอ่อนโยนและตามใจว่า
“คุณอยาดจะจัดการยังไงกับเขา?”
ความหมายนี้ คือให้กู้จื่อเฟยเป็นคนตัดสินใจ
เมื่อทุกคนมองไปยังกู้จื่อเฟย แววตาของพวกเขาก็เปลี่ยนไป พวกเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า นายน้อยของพวกเขาอ่อนโยนและห่วงใยกู้จื่อเฟยมาก
ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นเช่นนี้ จะมีมือที่สามเข้ามาแทรกแซงได้อย่างไร
เมื่อชิวเจ๋อเห็นสิ่งนี้ ใจที่ตื่นตระหนกเริ่มมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
เขาพูดอย่างรวดเร็ว
“เฟยเฟย ไม่ใช่ว่าคุณชอบที่ผมร้องเพลงหรือ? เพลงของผมมีหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ คุณชอบที่สุด คุณติดตามผมมาหลายปีแล้ว เรื่องนี้ คุณยกโทษให้ผมได้ไหม? ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมมันต่ำทราม ในหัวมีแต่หนอนเลยทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ได้ ให้โอกาสผมได้เปลี่ยนตัวเองอีกครั้งนะ ได้ไหม?”
พวกผู้หญิงมักจะใจอ่อนที่สุด เขาเปิดไพ่อารมณ์ความรู้สึก กู้จื่อเฟยต้องออมมือให้แน่
กู้จื่อเฟยไม่ได้มองเขาเลย แต่หันไปหาเย้นโม่หลิน และถามว่า
“พี่เย้น ตระกูลคุณไม่มีห้องพิเศษที่ไว้จัดการกับคนนอกหรือ? ภายในคุณจัดการกับคนที่ทำเรื่องผิดพลาดยังไง?”
เย้นโม่หลิน “มีบทลงโทษเยอะ รับเอามาจากทั่วทุกมุมโลกเป็นเวลาหลายพันปี วิธีการทรมานคนจากแต่ละประเทศ หนักเบามีหมด”
“หนักที่สุดคืออะไรคะ?” กู้จื่อเฟยตาเป็นประกาย
“เอามีดแล่เนื้อทีละส่วน เอาลงไปทอดในน้ำมัน ใช้ไฟเผา ใช้รถ5คันแยกดึงร่างจนตาย”
“แล่เนื้อ อันนี้น่าสนใจ”
ความเกลียดชังของกู้จื่อเฟยหายไป เธอถามอย่างละเอียด “นี่เป็นการลงโทษที่เขาเล่าขานกันเหรอคะ ที่ใช้มีดพันเล่มแล่เนื้อ? ใช้มีดบางๆ จุ่มลงในน้ำเกลือ แล้วแล่เนื้อเป็นชิ้นๆ ออกมา หลังจากแล่ครบ1008 คนคนนั้นจะขาดใจตาย”
“ใช่” เย้นโม่หลินพยักหน้า
กู้จื่อเฟยมีความสนใจเป็นอย่างมาก มองไปทางชิวเจ๋อด้วยสายตาแผดเผา ก่อนจะพูดทีละคำอย่างชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นใช้วิธีเอามีดแล่เนื้อ! แล่ให้ครบ1008 ครั้ง ห้ามขาดไปสักครั้ง!”
ชิวเจ๋อตกใจกลัวจนฟุบลงไปกองกับพื้น กระดูกอ่อนไปหมด ไม่สามารถคุกเข่าลงได้
เขามองไปทางกู้จื่อเฟยด้วยความผวา ไม่คิดเลยว่า เธอจะมีจิตใจที่โหดร้ายภายใต้ใบหน้าที่สวยงาม
ตามที่ตำนานบอกต่อกันมา ผู้หญิงใจคอโหดร้ายที่สุด
เขากลัวมาก และร้องขอความเมตตาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา “ผมผิดไปแล้ว เฟยเฟย อย่าทำแบบนี้ ยกโทษให้ผมเถอะ ให้อภัยผมเถอะนะ ผมไม่มีความผิดถึงตาย อย่าทำแบบนี้กับผม อย่าฆ่าผมเลย”
สีหน้าของกู้จื่อเฟยเย็นชา เธอมีเพียงแค่ความรังเกียจให้ชิวเจ๋อเท่านั้น
เธอโบกมืออย่างเบื่อหน่าย “รีบลากเขาออกไป เริ่มรีบใช้มีดแล่เนื้อ ได้เห็นชีวิตที่ยังอยู่ดีของคนคนนี้สักหนึ่งวิ ฉันก็รู้สึกไม่มีความสุขแล้ว”
เธอพูดคำที่น่ากลัวที่สุดด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดาที่สุด
ชิวเจ๋อเกือบจะหายใจไม่ออกด้วยความกลัว
ตอนนี้ ได้มีบอดี้การ์ดร่างสูงสองคนออกมาจากด้านข้างทันที จับชิวเจ๋อทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะดึงเขาขึ้นจากพื้นด้วยความหยาบคาย
ลากเขาออกไป
ชิวเจ๋อตึงเครียดไปหมด นี่มันทางตัน
เขากลัวความตาย และสิ่งที่เขากำลังจะเผชิญคือมีดแล่เนื้อเปื้อนเลือดน่าเวทนา ต้องอดทนจนถึง1008ครั้ง ก่อนที่เขาจะตาย
นั่นเป็นเรื่องที่มนุษย์จะทนได้หรือ?
ชิวเจ๋อตกใจมากจนแทบจะฉี่ราดกางเกง
เขาไม่สนอะไรแล้ว และมองไปยังเจียงเป้ยนีอย่างตื่นตระหนก
“คุณเจียง ช่วยผม รีบช่วยผมสิ ผมไม่อยากตาย ผมไม่อยากตาย”
เสียงความช่วยเหลือ ทำให้ทุกคนมองไปทางเจียงเป้ยนีด้วยสายตาเดียว
ผู้คนต่างสงสัยว่า ทำไมในนาทีสุดท้าย ชิวเจ๋อเรียกหาใครไม่หา แต่เรียกหาเจียงเป้ยนี?
เท่าที่พวกเขารู้ ดูเหมือนว่าชิวเจ๋อจะไม่ได้คบค้าสมาคมกับเจียงเป้ยนีเลย และไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน
ใบหน้าของเจียงเป้ยนีเปลี่ยนไปทันที และเธอก็มองไปที่ชิวเจ๋อด้วยความตื่นตระหนก
เธอกะพริบตา ส่งสัญญาณให้เขาหุบปาก
ชิวเจ๋อจะปล่อยให้โอกาสเดียวที่จะยังช่วยเขาให้ยังมีชีวิตอยู่ได้หลุดรอดไปได้ที่ไหน เขายังคงตะโกนต่อไปอย่างตื่นตระหนก
“คุณเจียง ช่วยผม คุณต้องช่วยผม ตอนนี้มีเพียงคุณที่ช่วยผมได้ ผมไม่อยากตาย”
เจียงเป้ยนีตัวสั่นเทาด้วยความเครียดเกร็ง ลุกลี้ลุกลนและไม่สบายใจ
ถ้าปล่อยให้ชิวเจ๋อพูดต่อไปล่ะก็ ทุกคนต้องสงสัยแน่
เธอรีบเดินไปข้างหน้า เมื่อไปถึงตรงหน้าของชิวเจ๋อ เธอก็กระซิบว่า “หุบปาก”
ร่างกายของชิวเจ๋อแข็งทื่อ และเมื่อเขาเห็นท่าทางที่วิตกกังวลและข่มขู่ของผู้หญิงตรงหน้า หัวใจของเขาก็เย็นเฉียบ
“คุณช่วยผมไม่ได้ใช่ไหม?”