เจียงเป้ยนีตัวแข็งชะงักอยู่ในที่เกิดเหตุ
เธอแทบจะเป็นบ้า การลงโทษแบบนี้ ยิ่งทรมานกว่าการตีเธอให้ตายทั้งเป็น ตัดแขนตัดขาของเธอเสียอีก
ชื่อเสียง สิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดในชีวิตนี้ก็คือชื่อเสียง
ในแวดวงนี้ เธอเป็นคนสูงส่ง สง่างาม วางตัวดี เดินไปถึงไหนก็เป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชมและเป็นที่เคารพของทุกคน
และก็ยิ่งเพราะเธอเคยถูกเลือกโดยตระกูลเย้น เป็นคนที่โดดเด่นสุดในบรรดาหมู่กุลสตรี
ถ้าหากว่าเธอถูกขับไล่ออกจากตระกูลเย้นแบบนี้ ชื่อเสียงก็จะป่นปี้เสียหาย ต่อไปก็คงเงยหน้าสู้หน้าคนไม่ได้อีก จากกุลสตรีที่สูงส่ง สง่างาม สู่แม่ม่ายผู้ชั่วช้าอย่างที่ทุกคนรู้กัน
แล้วต่อไป เธอจะสู้หน้าคนอย่างไร
เธอจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร
เจียงเป้ยนีสั่นเทาไปทั้งตัว “ไม่ ไม่ได้ กู้จื่อเฟยเธอจะทำแบบนี้ไม่ได้”
กู้จื่อเฟยมองเจียงเป้ยนีอย่างสะใจที่เห็นท่าทางเธอตกใจจนแทบจะเป็นบ้าตาย
ตอนที่กล้าคิดจะตลบหลังเธอนั้น เจียงเป้ยนีเคยคิดบ้างไหมว่าตัวเองจะมีจุดจบเช่นนี้ได้
ชื่อเสียง มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ต้องการ
เจียงเป้ยนีต้องการทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของเธอ เธอต้องหนามยอกเอาหนามบ่ง ให้เจียงเป้ยนีลิ้มลองรสชาติการถูกทำลายชื่อเสียง รสชาติของการถูกคนแทงสันหลังอยู่ตลอดเวลา
กู้จื่อเฟยกล่าว “เห็นเธอแล้วก็หงุดหงิดน่ารำคาญ รีบนำตัวเธอไปโยนทิ้งซะ”
“ครับ”
มีบอดี้การ์ดสองคนก้าวมาข้างหน้าทันที ประกบซ้ายขวาดึงกระชากลากถูเธอออกไปราวกับขยะก็ไม่ปาน
เจียงเป้ยนีถอยหลังขัดขืน ฉับพลันภาพลักษณ์ต่างๆ ก็ไม่มีให้หลงเหลืออีก
เธอเริ่มผวา เริ่มหวาดกลัว
กรีดร้องตะโกนขึ้น “กู้จื่อเฟยอย่านะ เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ พี่เย้นๆ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
ครั้นแล้ว ก็ไม่มีสนใจคำกรีดร้องตะโกนของเธอ
ทุกคนต่างชิงชังเธอมากจนถึงมากที่สุด
คนแบบนี้ให้เป็นไม้ตักอุจจาระในบ้านตระกูลเย้นก็ยังน่าขยะแขยง
ขณะที่เจียงเป้ยนีถูกลากตัวออกไป เสียงของเธอก็ไกลออกไปเรื่อยๆ ค่อยๆ จางหายจนไม่ได้ยินในที่สุด
บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งเดินมาที่ด้านหน้าของกู้จื่อเฟย แล้วกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม
“จะจัดการอย่างไรกับชิวเจ๋อดีครับ จะใช้มีดกรีดเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ”
กู้จื่อเฟยรีบส่ายหน้ารัวๆ “ฉันเป็นพลเมืองที่จิตใจดีบริสุทธิ์ จะให้พวกนายทำเรื่องที่อำมหิตแบบนี้ได้อย่างไร”
บอดี้การ์ด “……”
เมื่อสักครู่ตอนที่คุณพูดถึงมีดกรีดอย่างสนอกสนใจ ท่าทางไม่ใช่แบบนี้นะ
กู้จื่อเฟยหันหน้าไปมองเย้นโม่หลิน “ฉันเหนื่อยแล้ว คุณตัดสินใจเองแล้วกันว่าจะจัดการอย่างไรกับชิวเจ๋อดี”
“ครับ”
เย้นโม่หลินพยักหน้า สั่งกำชับกับสาวใช้ว่า “ส่งเธอกลับไปที่ห้องแล้วดูแลให้ดี”
“ฉันจะรอคุณอยู่ที่ห้องนะ จุ๊บๆ ”
กู้จื่อเฟยส่งจูบให้กับเย้นโม่หลิน
ทันใดนั้นใบหูเย้นโม่หลินก็แดงก่ำขื้นอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง
คนอื่น “……”
นายน้อยกับคุณกู้กุ๊กกิ๊กรักกันจริงๆ เลย
สาวใช้เข็นกู้จื่อเฟยเข้าไปในตึกเล็ก ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้หันไปมองชิวเจ๋อแม้แต่แวบเดียว
อันที่จริงเธอไม่ได้คิดที่จะใช้มีดกรีดตั้งแต่แรก ที่พูดแบบนั้น ก็แค่อยากจะข่มขวัญชิวเจ๋อให้กลัวเท่านั้น
เช่นนี้แล้ว เขาที่รักตัวกลัวตายก็จะได้สาวตัวเจียงเป้ยนีออกมา
ทำลายชื่อเสียงของเจียงเป้ยนี ก็เท่ากับเป็นการทำลายทั้งชีวิตของเจียงเป้ยนี นี่ต่างหากคือสิ่งที่กู้จื่อเฟยสะใจที่สุด
สำหรับเสียงบันทึกนั่น……
กู้จื่อเฟยมาถึงที่ห้อง ได้ยื่นเสียงบันทึกนั้นให้กับสาวใช้
“โยนลงไปในเครื่องบด อย่าให้เหลือร่องรอยแม้แต่นิดเดียว”
ปากกาบันทึกเสียงนี้ ที่จริงแล้วเป็นของปลอมจริงๆ
เธอให้เย้นโม่หลินตามหาคนมาเพื่อเลียนแบบเสียงโดยเฉพาะ แล้วบันทึกเสียงออกมา
ในเมื่อเป็นการเลียนแบบ ถ้ามีการตรวจสอบอย่างละเอียด ก็จะพบพิรุธได้
ดังนั้นการทำลายทิ้งคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด และเรื่องนี้ก็จะปิดฉากลงอย่างบริบูรณ์
……
ในโรงแรมแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาบ้านตระกูลเย้น
ในห้องสวีท เจียงเป้ยนีคุกเข่าอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างคว้ากระโปรงของหญิงสาวไว้ น้ำตานองหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“คุณป้าช่วยหนูด้วยนะ คุณป้าช่วยหนูด้วยนะคะ ชื่อเสียงของหนูจะถูกทำลายป่นปี้ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้หนูคงต้องพัง คงต้องหมดกัน”
“ช่วยเหลือแกเหรอ แกทำเรื่องพังเละขนาดนี้ ฉันยังไม่ได้เอาเรื่องแกเลยนะ!”
เย้นซิวหย่าถีบเจียงเป้ยนีออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห ดุร้าย
ดูไม่สนิทเหมือนเฉกเช่นวันวานแม้แต่นิดเดียว
เธอจ้องเจียงเป้ยนี แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียด “ล้วนเป็นหลุมกับดักกู้จื่อเฟย แกจะจากบ้านตระกูลเย้นไปอย่างปลอดภัยได้อย่างไร ฮวนฮวนของฉันตอนนี้ยังนอนสลบไม่ตื่นอยู่บนเตียงเลย
เจียงเป้ยนีแกแอบซ่อนแผนอะไรโดยไม่บอกฉันหรือเปล่า”
เจียงเป้ยนีตกใจชะงัก มองเย้นซิวหย่าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
นี่เธอกำลังตำหนิเธอที่ไม่ถูกตีจนตาย และเอาชีวิตรอดมาได้อย่างนั้นเหรอ
ฉับพลันหัวใจก็เย็นเยียบจนเหลือไว้เพียงความหนาวเหน็บ
น้ำตาบนใบหน้าของเจียงเป้ยนีหยุดไหล และพยุงพื้นไว้ จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นมา
เธอจ้องตรงไปทางเย้นซิวหย่าแล้วกล่าว “คุณป้า คุณป้าอย่าลืมนะคะว่าคุณป้าเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ พวกเราลงเรือลำเดียวกัน ถ้าหนูจบ คุณป้าก็ไม่รอดเช่นกัน”
เธอถูกไล่ออกจากตระกูลเย้น ชื่อเสียงป่นปี้ เป็นไปไม่ได้ที่เจียงเป้ยนี จะยอมโดนกระทำคนเดียว
ถ้าหากเจียงเป้ยนีหักหลังเย้นซิวหย่า ถึงแม้เย้นซิวหย่าจะเป็นคุณหญิงสามของตระกูลเย้น ก็มีเพียงตายสถานเดียวเท่านั้น
“ชั่วช้า แกกล้าขู่ฉันเหรอ!”
เย้นซิวหย่าตบหนึ่งฉาดแรงๆ เข้าที่ใบหน้าของเจียงเป้ยนีด้วยความโมโห
เจียงเป้ยนีที่ใบหน้าขาวซีด ฉับพลันก็ปรากฏรอยนิ้วมือห้านิ้วที่เด่นชัดสะดุดตา
เธอจับใบหน้าเอาไว้ “คุณป้า หนูไม่ได้ขู่คุณป้านะคะ หนูแค่เตือนคุณป้าเท่านั้น ว่าพวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกัน หนูอยากมีชีวิตรอดต่อไป คุณป้าต้องช่วยหนู”
เย้นซิวหย่าแทบอยากจะบีบคอเจียงเป้ยนีให้ตาย
นี่เธอเลี้ยงลูกสุนัขจิ้งจอกไว้ ที่กล้ามาแว้งกัดเธอในเวลาแบบนี้
ดี โคตรดีเลย
เย้นซิวหย่าจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เยือกเย็น “จะให้ฉันช่วยแกยังไง แกคือคนที่นายน้อยเห็นด้วย ที่กู้จื่อเฟยไล่ออกต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องที่แกทำทั้งหมดนั้น อีกสักพักทุกคนก็จะรู้ แกเดินไปถึงไหนก็ไม่สามารถเงยหน้าสู้คนได้อีก
เป็นไปได้อย่างไรที่จะหยุดเรื่องแบบนี้ และก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะล้างมลทินให้กับแก”
เจียงเป้ยนีนั้นพังแล้ว ถูกทำลายพังยับเยินอย่างสิ้นเชิง
เจียงเป้ยนีกัดฟันแน่น ร่างสั่นขึ้นโดยควบคุมไม่ได้
ที่เธอตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะกู้จื่อเฟย เธอจะไม่มีทางปล่อยให้กู้จื่อเฟยมีชีวิตที่ดีเด็ดขาด
เจียงเป้ยนีแววตาเหี้ยมโหด กล่าวออกมาทีละประโยคทีละคำ
“นับแต่โบราณ ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ประวัติศาสตร์กับคำกล่าวลือ ล้วนเขียนบันทึกจากผู้ชนะ”
“ตอนนี้ชื่อเสียงหนูป่นปี้ยับเยิน ก็เป็นเพราะหนูอ่อนแอไร้อำนาจ ถ้าหนูโค่นตระกูลเย้นล้มได้ แล้วยืนอยู่บนอำนาจอธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ อย่างนั้นชื่อเสียงเกียรติยศแบบไหน ก็ล้วนขึ้นอยู่กับหนู”
เย้นซิวหย่ามองเจียงเป้ยนีอย่างตะลึงตกใจ
“นี่แก แกหมายความอย่างไร”
โค่นล้มตระกูลเย้น?
หรือว่าเธอจะ……
“ใช่ ตระกูลเย้นไม่มีความเมตตากับหนู ก็อย่ามาหาว่าหนูใจดำ!”
“เมื่อก่อนอำนาจตระกูลเย้นล้นฟ้า ไม่อาจจะเขย่าได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว การโจมตีของตระกูลหยูทำให้ตระกูลเย้นคลอนแคลน และไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะประคองไปได้อีกนานแค่ไหน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราถึงไม่พายเรือตามน้ำ ช่วยหยูฉู่สองสักหน่อยล่ะ”
เย้นซิวหย่าตกใจจนหน้าซีด “อะไรนะ นี่แกต้องการจะหักหลังตระกูลเย้น ไปร่วมมือกับ
หยูฉู่สองเหรอ”