เย้นหว่านหายใจถี่ขึ้นทันใด และหัวใจก็สั่นหวิว
โห้หลีเฉินเสร็จจากการดื่มคารวะเหล้า ก็กลับมาที่ห้องหอ
เขาไม่ได้เข้าไปในทันที แต่เอนพิงอยู่ที่กรอบประตู จ้องมองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
“รอนานไหม”
โห้หลีเฉินสวมชุดสูทสีดำ แก้มของเขาแดงก่ำผิดธรรมชาติ ทั้งร่างราวกับเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความชั่วร้าย ที่เห็นแล้วน่าดึงดูดมาก
เย้นหว่านอดไม่ได้ที่จะจ้องจนตาค้างและหลงเสน่ห์
เธอผ่อนคลายชั่วครู่แล้วส่ายหน้า
“รอไม่นาน”
“ถ้าไม่นาน อย่างนั้นเดี๋ยวผมค่อยกลับมานะ”
เมื่อพูดจบ โห้หลีเฉินก็หันหลังจะจากไป
ฉับพลันเย้นหว่านตะลึงงันไปทั้งตัว หรือเขาไม่ได้สังสรรค์กันจนจบแล้ว ถึงได้กลับมาเข้าห้องหอหรอกเหรอ ทำไมเพิ่งกลับมาก็จะออกไปอีก
เธอรอจนดวงตามองทะลุ ทะเลแห้งเหือด หินผาผุกร่อนแล้ว
“อ้าว อย่าเพิ่งไป”
เย้นหว่านกระวนกระวายใจ แทบเป็นการเรียกเขาโดยสัญชาตญาณ
โห้หลีเฉินจึงหยุดชะงักทันที มุมปากยกขึ้นอย่างดีใจ ก้าวเท้าใหญ่ดุจดาวตกมุ่งมาทางเย้นหว่าน
“เจ้าสาวของผม รอจนไม่ไหวแล้วเหรอ”
รอที่ไหนล่ะ เธอไม่ได้รอสักหน่อย
เย้นหว่านเขินอาย แต่กลับไม่กล้าปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นคนคนนี้ก็จะหันหลังกลับไปดื่มอีก แล้วเธอก็จะไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหนอีก
โห้หลีเฉินเดินมาที่ข้างเตียง ค่อยๆ นั่งลงข้างๆ เย้นหว่าน
เขาหันข้างมาจ้องมองเธอด้วยสายตาร้อนแรง
“วันนี้คุณสวยมาก”
เป็นคำชมที่เลี่ยนมาก
เย้นหว่านใบหน้าแดงระเรื่อ ในใจเหมือนเลี้ยงกวางไว้สิบกว่าตัว ที่กระโดดขึ้นกระโดดลงพร้อมกันอยู่ในนั้น
ดวงตาเธอกะพริบ กล่าวด้วยเสียงเบาๆ
“คุณดื่มมากแค่ไหน เมาแล้วเหรอ”
“นี่ไม่สำคัญ” โห้หลีเฉินยิ้มแล้วกระเถิบเข้าไปใกล้เย้นหว่าน “สิ่งที่สำคัญคือการเปิดผ้าคลุมศีรษะของคุณก่อน คุณเป็นของผมแล้วนะ”
พลางพูด เขาก็ไม่รีรอช้า นิ้วข้อมือที่เห็นได้อย่างชัดเจนพลางดึงมุมผ้าคลุมศีรษะสีขาวออกมา
ไม่มีอะไรกั้นระหว่างทั้งคู่ สายตาสบประสานกัน
วินาทีนั้นพลันยาวนาน
ครั้งนี้เย้นหว่านก็ไม่ทำการหลบ จ้องมองเขาตรงๆ มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้น
แววตาของโห้หลีเฉินลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ และก้อนเปลวไฟก็ค่อยๆ ลุกไหม้
เขาเชยคางของเย้นหว่านขึ้นทันใด แล้วประทับจูบลงไป
“จ๊วบๆ ……”
เย้นหว่านที่ถูกบรรจงจูบโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตาจึงเบิกกว้างขึ้นด้วยความลนลาน
วันนี้เธอแต่งหน้าจัด ลิปสติกแดงที่ทาหนาหลายชั้นจนแดงเข้ม โห้หลีเฉินทำการจูบเธอแบบนี้ ไม่ใช่เป็นการกำลังทานลิปสติกแดงหรือ
แต่เขากลับไม่ปล่อยโอกาสให้เธอได้ทำการหลบ หรือได้พูด จูบของเขากระโจนเข้ามาราวกับลมฝนที่ถาโถมกระหน่ำ
เย้นหว่านไม่สามารถปฏิเสธได้
เธอถูกเขาดึงแนบชิดในอ้อมกอด สัมผัสอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวของเขา ทั้งร่างได้กลายเป็นแอ่งน้ำไปอย่างไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน โห้หลีเฉินถึงได้ปล่อยริมฝีปากของเย้นหว่านออกอย่างไม่เต็มใจ
ส่วนเปลวไฟที่อยู่ในดวงตาของเขา กลับยิ่งร้อนแรง
เขาจ้องมองเธอ และน้ำเสียงแหบแห้งอย่างรุนแรง
“คืนแรกของการเข้าห้องหอ นั้นมีความหมายมากมายนัก ผมอยากได้คุณเหลือเกิน เมียจ๋า”
เย้นหว่านราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
ร่างกายยังไม่ทันได้คลายความร้อนลง ทันใดนั้นกลับเพิ่มขึ้นมาอีกหลายสิบองศา
หัวใจเต้นเร็วมากจนแทบไม่ไหว
หัวสมองของเธอดังวิ้งๆ จนไม่สามารถครุ่นคิดอะไรได้อีก ใบหูมีเสียงวนซ้ำๆ ดังก้องด้วยสองคำ——
เมียจ๋า
เป็นสองคำที่ง่ายๆ ธรรมดาที่สุด เรียบๆ ไม่หรูหรา เมียจ๋า
แต่เมื่อออกมาจากปากของโห้หลีเฉิน ในชั่วโมงนี้ สถานการณ์แบบนี้ กลับกลายเป็นคำรักที่น่าฟังและสวยงามที่สุดในโลกใบนี้
โห้หลีเฉินบรรจงจูบลงที่ริมฝีปากของเย้นหว่านอีกครั้ง ฝ่ามือที่หนาใหญ่ลูบไล้ตามแขนของเธอลงมา แล้วสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่หน้าท้องของเธอ
เขาค่อนข้างไม่สบอารมณ์
“เป็นเพราะไอ้หนูอย่างแกแท้ๆ ทำให้คืนเข้าห้องหอจึงไม่สมบูรณ์แบบ”
เย้นหว่านจ้องมองโห้หลีเฉินด้วยความมึนงง ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีด้านที่เหมือนเด็กเช่นนี้ ไปถือสากับลูกของตัวเองที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก
รู้สึกว่าเป็นเพราะลูกถึงทำให้เขาคืนนี้ไม่สามารถเข้าห้องหอ
เย้นหว่านอมยิ้ม มือน้อยๆ ลูบผมที่ดำเงาของโห้หลีเฉิน
“อย่าใจร้อนสิ เวลาของสองเราต่อไปยังอีกยาวนาน เสียใจเล็กๆ ในวันนี้ ถึงจะได้เจอความสุขที่ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้านะ”
เย้นหว่านแทบจะรอไม่ไหวในการต้อนรับวันแห่งความสุขของครอบครัวสามคนในอนาคต
โห้หลีเฉินยิ้มเบาๆ “ตอนนี้ก็เริ่มแก้ต่างให้กับลูกแล้วเหรอ”
เย้นหว่านชะงัก
โห้หลีเฉินกล่าวต่อ “ลูกคนนี้ต่อไปจะคอยแย่งความรักกับผมหรือเปล่า”
เย้นหว่านที่จะร้องจะยิ้มก็ไม่ได้
เธอยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของโห้หลีเฉิน “วันนี้คุณดื่มไปเท่าไหร่ เมาแล้วใช่ไหม”
“ไม่เท่าไหร่ หนึ่งแก้วต่อหนึ่งคนเท่านั้นเอง”
เขากล่าวเบาๆ
“ผมยังมีสติดี ไม่ได้เมา”
เย้นหว่านกลับตกใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ไปดื่มคารวะแขกเหรื่อ แต่เธอนั้นรู้ดีว่าแขกที่มางานในห้องจัดงานเลี้ยงวันนี้นั้นมีกี่คน อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าหลายร้อยคน
หนึ่งแก้วต่อหนึ่งคน อย่างน้อยโห้หลีเฉินก็ต้องดื่มไปหลายร้อยแก้ว
ดื่มปริมาณขนาดนี้ เขายังบอกว่าไม่เมา
พันแก้วไม่เมาเป็นแค่เพียงคำพูดอวยเท่านั้นเหอะ
เย้นหว่านปวดศีรษะแล้วขมวดคิ้วขึ้น ถึงว่ารู้สึกโห้หลีเฉินคืนนี้มีนิสัยเด็กๆ
เธอจึงกล่าวเบาๆ “มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”
“ไม่สบายตรงนี้”
โห้หลีเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับไม่มีท่าทาง
เย้นหว่านไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จึงได้ถามขึ้นอีกครั้ง “ตรงไหนที่ไม่สบาย ฉันขอดูหน่อย”
“คุณจะดูจริงๆ เหรอ”
โห้หลีเฉินมองเธออย่างมีเลศนัย
เย้นหว่านพยักหน้า “ใช่ ขอฉันดูหน่อย” ท้องหรือว่ากระเพาะ
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปาก “อย่างนั้นคุณถอดเอาเองแล้วกัน” พลางพูดพลางจับมือของเย้นหว่านมาวางที่เข็มขัดของเขา
หัวเข็มขัดที่เย็นเฉียบแตะโดนนิ้วมือ ทำให้เย้นหว่านชะงักด้วยความงุนงง
เธอไม่เข้าใจ “คุณต้องการให้ฉันจับเข็มขัดคุณทำไม”
“ให้คุณดู”
โห้หลีเฉินปลายคิ้วเลิกขึ้น เยาะเย้ยอย่างชั่วร้าย
ดูว่าตรงไหนไม่สบาย จำเป็นต้องจับเข็มขัดด้วยเหรอ
เย้นหว่านมึนตึ๊บ ปรายตามองลงไป ฉับพลันสังเกตเห็นด้านล่างเข็มขัดของเขาผิดปกติจากเดิม
เธอตกใจตะลึง ทันใดนั้นแก้มแดงระเรื่อดั่งมะเขือเทศ
ตอนนี้ถึงได้รู้ตัวว่า ที่เขาบอกไม่สบายหมายถึงที่ใด
“โห้หลีเฉิน คนไม่รู้จักอาย!”
เธอดึงมือออกไปราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ลุกยืนขึ้นและยืนห่างจากเขา
โห้หลีเฉินกลับดึงข้อมือของเธอมานั่งอยู่บนตักของเขา
ท่าทางชิดใกล้
เขาโอบเธอไว้ ใบหน้าที่หล่อเหลาได้ชิดเข้ามา
น้ำเสียงทุ้มต่ำอันตราย กล่าวออกมาทีละประโยคทีละคำ
“เมียจ๋า ตอนนี้ได้เวลาที่ควรเปลี่ยนคำเรียกแล้วนะ ไหนลองเรียกผัวจ๋าให้ได้ยินหน่อยสิ”
ผัวจ๋า?
ใบหน้าเย้นหว่านแดงราวกับเลือดจะซึมออกมา ถูกเขาจ้องเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกลนลานจนมือไม้ทำอะไรไม่ถูก
สองคำนี้ เธอไม่เคยเรียกมาก่อน
และเหมือนว่าเธอก็ชินกับการเรียกโห้หลีเฉิน ชื่อเต็มบวกนามสกุลมาโดยตลอด ถ้าไม่เรียกโห้หลีเฉินก็จะเรียกคุณโห้ และไม่เคยคิดถึงผัวจ๋าสองคำที่ว่านี้