ป่ายฉีมองดูเย้นโม่หลินด้วยความกังวล เขาในตอนนี้เมื่อเทียบกับความกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาที่เคยเป็น เหมือนเป็นคนละคน
ในเวลาสั้น ๆ เพียงสัปดาห์เดียว เขาผอมลงไปมาก หน้าตาซีดเผือดเหมือนผี และรอยฟกช้ำใต้ตาของเขาหนากว่าก้นหม้อ
หลายวันนี้เขาหลับไปเพียงไม่ถึงสามชั่วโมง
บาดแผลบนตัวเขายังคงสาหัส
ในที่สุดป่ายฉีก็ทนไม่ไหวและเกลี้ยกล่อมเขา
“พี่ใหญ่ พี่จะทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ ยังไม่ทันเจอกู้จื่อเฟย ร่างกายของพี่จะแย่ก่อน”
สายตาของเย้นโม่เฟยมองตรงไปที่หน้าจอและไม่สนใจคำพูดของป่ายฉีเลย
ป่านฉีปวดหัวหนัก
เขายื่นมือออกไปจับข้อมือของเย้นโม่หลินเพื่อหยุดเขา
“พี่ใหญ่! พี่จะมีชีวิตอยู่ถึงจะมีแรงช่วยกู้จื่อเฟยได้นะ”
หากเขาล้มไปแล้วใครจะช่วยกู้จื่อเฟยได้
ร่างกายของเย้นโม่หลินแข็งทื่อ เขาค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น ดวงตาเป็นประกาย ซึ่งเป็นภาพมึนงงที่ป่ายฉีไม่เคยเห็นมาก่อน
มีแม้กระทั่งความกลัวที่ไม่สามารถปกปิดได้
“ป่ายฉี ฉันกลัว”
ป่ายฉีรู้สึกเหมือนฟ้าผ่า
เมื่อมองไปที่เย้นโม่หลินด้วยความไม่เชื่อ ชายผู้มีอำนาจผู้นี้ซึ่งมีความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว ผู้ซึ่งไม่เคยรู้ว่าความกลัวคืออะไร กำลังบอกว่าเขารู้สึกกลัวในขณะนี้
ในตอนนี้เหมือนโลกกำลังพังทลาย
ริมฝีปากบางของเย้นโม่หลินเปิดและขยับ ราวกับติดอยู่ในขุมนรกแห่งความกลัวไม่สามารถคลี่คลายตัวเองได้
“ฉันกลัว…”
กลัว กลัวแล้วจริงๆ
กลัวว่าหากลืมตาอีกครั้งจะได้รับข่าวว่ากู้จื่อเฟยจากไปแล้ว
กลัวว่าหากเขาหลับตาลงแล้วเขาจะพลาดช่วงเวลาสำคัญที่จะได้ช่วยชีวิตกู้จื่อเฟยไป
เขาไม่กล้าจะผ่อนคลาย แต่เขาค่อยๆ ถูกลากเข้าไปในขุมนรก รู้สึกสิ้นหวังและตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาจึงได้รู้ว่าเขาใส่ใจกู้จื่อเฟยมากเพียงใด
เขาใส่ใจทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีเธอ
ปรากฏว่าเธอได้ผนึกอยู่ในหัวใจของเขาโดยไม่รู้ตัว…
……
ย้อนเวลากลับมาเมื่อสัปดาห์ก่อน
กู้จื่อเฟยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยน้ำแข็งที่เทลงบนศีรษะของเธอ
เมื่อลืมตาขึ้น เธอยังคงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่หลังของเธอ เมื่อแผลโดนน้ำมันทำให้เธอรู้สึกอยากตาย
เธอเจ็บจนดวงตาพร่ามัว เธอกัดฟัน และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะมองเห็นสภาพแวดล้อมที่เธออยู่
เป็นห้องขนาดกลางที่ไม่คุ้นเคย ประมาณยี่สิบตารางเมตร
เป็นห้องว่างเปล่า ผนังเป็นรูปอิฐตัดสไตล์ยุโรปโบราณ และมีหน้าต่างบานเล็กรูปทรงโค้งสไตล์ยุโรป
ด้านนอกเธอเห็นเพียงท้องฟ้า
ในขณะที่มีผู้หญิงวัยกลางคนอ้วนสองคนกำลังยืนอยู่ในห้อง คนหนึ่งถืออ่างเปล่าอยู่ในมือ และอีกคนหนึ่งถือมีดและเครื่องมือในมือ
ข้างหน้าพวกเขามีเก้าอี้สีดำ และสาวใช้ที่เคยพบมาก่อนที่บ้านตระกูลเย้นก็นั่งอยู่บนนั้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา
กู้จื่อเฟยถอนหายใจ
ความทรงจำทั้งหมดก่อนที่จะหมดสติไปเข้ามาในหัว เธอถูกกระแทกและถูกพาตัวออกไป
สุดท้ายแล้วคนที่พาตัวเธอมาก็คือสาวใช้คนนั้นเอง!
“เธอเป็นใคร? เธอคิดจะทำอะไร?”
กู้จื่อเฟยทนความเจ็บปวดและต้องการยืนขึ้น เมื่อเธอขยับ เธอก็รู้ว่ามือของเธอถูกมัดไว้ข้างหลังด้วยเชือก
หลังของเธอยังคงเจ็บมากอยู่และไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นนั่ง
ได้แต่เพียงเงยหน้ามองผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นยกคางขึ้น มองลงไปที่กู้จื่อเฟยอย่างดูถูกด้วยรอยยิ้มที่ดูถูกบนปากของเธอ
“กู้จื่อเฟย เธอทำให้ฉันต้องมองเธอด้วยมุมมองใหม่จริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเย้นโม่หลิน
ฉันควรจะชื่นชมในความกล้าของเธอหรือคิดว่าเธอมันไร้ยางอายกันแน่?”
ในขณะที่ที่ผู้หญิงคนนั้นพูด รองเท้าส้นสูงแหลมของเธอก็เหยียบไปที่ข้อเท้าของกู้จื่อเฟย
กู้จื่อเฟยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในทันที
“โอ๊ย——”
แผลที่หลังของเธอนั้นสาหัสมากจนทำให้ร่างกายอ่อนแอบวกกับความเจ็บปวดที่เพิ่มเข้ามาเหมือนกับเอาเกลือมาทาที่แผล
ทำให้เธอรับไม่ไหว
ผู้หญิงคนนั้นมองดูท่าทางเจ็บปวดของกู้จื่อเฟยอย่างสนุกสนานและพูดด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
“กู้จื่อเฟย เธอมันหน้าไม่อาย! เธอเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเย้นโม่หลิน ต่อให้เธอตาย เธอก็จะเป็นได้แค่จุดจูซา(เป็นชื่อตัวละครในนิยายจีน เอามาเปรยบเทียบคนรักที่ไม่สมหวังและไม่มีวันจะลืม) ที่เขาจะไม่มีวันลืมเธอไปตลอดชีวิตของเขา
นี่คงจะเป็นเล่ห์กลของเธอสินะ! ถึงทำให้เย้นโม่หลินหลงเธอจนหัวปักหัวปำได้”
ในสายตาของเธอ ทุกอย่างที่กู้จื่อเฟยทำ มันไม่ใช่การเสียสละเลย แต่มันคือแผน ทั้งหมดนี้เป็นเล่ห์กลของเธอ
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจนตอนนี้ กู้จื่อเฟยก็ใช้ลูกไม้พวกนี้เพื่อควบคุมเย้นโม่หลินไว้
ไม่อย่างนั้นเย้นโม่หลินที่เย็นชาแบบนั้นจะรักเธอได้ยังไง
กู้จื่อเฟยเจ็บปวดจนจะเป็นลมไปอีกรอบ
นัยน์ตาของเธอแข็งกระด้าง มองไปยังหญิงสาวที่มีสีหน้าบูดบึ้งที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอพูดด้วยความยากลำบาก
“เธอเกลียดฉันขนาดนี้? และใส่ใจเย้นโม่หลินขนาดนี้ เธอ เธอคือ… เจียงเป้ยนี!”
คำพูดสุดท้ายสามคำนั้น กู้จื่อเฟยแทบจะเค้นคำพูดออกมา
ก่อนหน้านี้เธอสงสัยมาตลอด
ตั้งแต่เรื่องสาวใช้ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ทำไมถึงได้เกลียดเธอนัก เกลียดอย่างไม่มีที่มาที่ไป
อีกทั้งยังตอนที่ติดต่อเธอเรื่องของเย้นโม่หลินหลายครั้งก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ในตอนนี้ที่เห็นเธออิจฉาอย่างบ้าคลั่งนั้น ในที่สุดกู้จื่อเฟยก็มั่นใจในตัวตนของเธอว่าเป็นเจียงเป้ยนี
มีเพียงเจียงเป้ยนีเท่านั้น
มีเพียงเธอที่จะเกลียดเธอได้แบบนี้ เกลียดที่เธอแย่งเย้นโม่หลินไป เธอมีความสามารถในการวางแผนลอบสังหารครั้งนี้ ระดมคนจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับเย้นโม้หลินและคนอื่นๆ
หญิงสาวชะงักครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างดูถูก
“เธอเพิ่งจะเดาได้งั้นเหรอ มันช้าไปแล้วล่ะ”
เธอพูดแล้วหยิบยาพิเศษออกมาและฉีดมันใส่หน้าเธอ
ทันใดนั้น ผิวไร้ที่ติก็ลอกออกและเธอก็ใช้มือถูมันก่อนจะฉีกมันออกจากกัน
กู้จื่อเฟยเฝ้าดูขณะที่ใบหน้าถูกฉีกออกและแทนที่ด้วยใบหน้าของเจียงเป้ยนี
สวยงามแต่กลับร้ายกาจและป่าเถื่อน
“กู้จื่อเฟย เธอรู้ไหม? เธอทำลายทุกอย่างของฉัน”
“เธอทำลายงานแต่งงานของฉัน ทำลายชื่อเสียง ทำลายอนาคตของฉัน ตอนนี้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะใช้ใบหน้านี้ปรากฏในสายตาของผู้คน”
“ตอนนี้ฉันหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว ทั้งหมดก็เป็นเพราะเธอ”
กู้จื่อเฟยขมวดคิ้วแน่นเผชิญหน้ากับใบหน้าที่สวยงาม แต่มันน่าขนลุกยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับใบหน้าปลอมธรรมดาของสาวใช้ในตอนนี้
บนใบหน้านี้ มันชัดเจนถึงรายละเอียดที่ละเอียดอ่อนที่แสดงความเกลียดชังของเจียงเป้ยนี
กู้จื่อเฟยมองเธอด้วยหัวใจที่หนักอึ้งจนเกือบจะหมดหวัง
เธอรู้ว่าตนเองตกอยู่ในกำมือของเจียงเป้ยนี และแทบจะไม่มีโอกาสรอด
ความโชคดีเพียงอย่างเดียวของเธอคือเย้นโม่หลินยังมีชีวิตและสบายดี
“ในเมื่ออยู่ในมือเธอแล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด เจียงเป้ยนี เธอจะฆ่าก็ฆ่าเลย ก็แค่ชีวิตเดียวเท่านั้น ฉันให้เธอ”
“อยากตาย? มันจะง่ายอย่างนั้นได้ยังไง!”
เจียงเป้ยนีก้มลง บีบคางของกู้จื่อเฟย ริมฝีปากสีแดงของเธอกระตุกขึ้นและยิ้มราวกับปีศาจ
“ในเมื่อชีวิตนี้ฉันไม่มีวันได้ครอบครองเย้นโม่หลิน แต่ฉันก็จะไม่มีวันยอมให้เธออยู่ในใจของเขาไปตลอดชีวิตของเขา”
“ฉันพัง เธอก็ต้องพัง”
ขณะพูด อีกมือของนางก็หยิบมีดบนถาด…