“นอนไม่หลับ”
เย้นโม่หลินดูดบุหรี่เข้าไปเต็มปอด
ควันขาวลอยคลุ้งไปทั่ว ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาซ่อนอยู่ในนั้น รู้สึกว่ายิ่งดูดียิ่งกว่าเดิม แต่ก็มีความลึกลับในความมืดมัว
หน้าของเขาแสดงอารมณ์เหมือนกับมีเรื่องหนักใจ ป่ายฉีก็ยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม
“เป็นอะไรไป? กู้จื่อเฟยกลับมานายควรดีใจไม่ใช่หรือ หรือว่านายกำลังกังวลบาดแผลบนหน้าของเธออยู่”
เย้นโม่หลินส่ายหน้า “แผลบนหน้าของเธอนายจะรักษาหายได้”
เขาพูดอย่างหนักแน่นไม่มีความกังวลอยู่แม้แต่นิดเดียว
ป่ายฉียิ่งไม่เข้าใจใหญ่ “แล้วนายกำลังวุ่นวายใจอะไรอยู่?”
ทำให้เย้นโม่หลินลุกขึ้นมาดูดบุหรี่กลางดึกแบบนี้ มีอารมณ์เฉยเมย ก็คงมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับกู้จื่อเฟยเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเรื่องฟ้าถล่มลงมา หรือว่าตระกูลเย้นล้มละลาย เขาก็สามารถรับมือได้อย่างหน้าตาเฉย
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วมุ่น สูตรยาสูบเข้าไปลึกเต็มปอดอีก 2 ครั้ง
เสียงของเขาทุนต่ำเต็มไปด้วยความสับสน
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน”
“อะไรไม่ถูกต้อง?”
“ก็คือ…”
เย้นโม่หลินพูดแค่นั้นแล้วก็ไม่พูดต่อ “ช่างเถอะ อาจเป็นเพราะฉันคิดมากไป”
คงยังไม่คุ้นเคย
ป่ายฉีมองไปที่เย้นโม่หลินด้วยความสงสัย แต่เขาไม่อยากพูดออกมา ถึงเขาจะถามต่อไปอีกก็คงไม่ได้อะไรออกมา
เพราะ เย้นโม่หลินไม่พูดเขาก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกู้จื่อเฟยแน่นอน
เพิ่งจะกลับมาได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง มันเกิดอะไรขึ้นแล้วล่ะ จึงทำให้เย้นโม่หลินเป็นเช่นนี้
เขามองไปที่ประตูห้องปิดมิดชิดที่อยู่ไม่ไกล รู้สึกอยากจะค้นหาความจริงขึ้นมา
ในห้องที่มืดมัวนั้น
คนที่หลับไปแล้วบนเตียง ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
เธอมองไปทิศทางด้านประตู สายตาเย็นครึ้ม กัดฟันแน่น อย่างกับกำลังอดกลั้นอะไรเต็มกำลัง
วันต่อมา
เย้นโม่หลินรอคอยกู้จื่อเฟยนอนหลับเต็มอิ่มด้วยความอดทน เมื่อเธอนอนตื่นแล้ว ก็เอาชุดที่เธอจะใส่หลังอาบน้ำเสร็จมาให้ด้วยมือตนเอง รอเธอจนจะจัดการกับตัวเองเสร็จแล้ว จึงพาเธอไปที่ห้องอาหาร
เพื่อที่จะไม่ให้เธอไม่สบายใจรู้สึกตัวเองด้วยเพราะแผลบนใบหน้า ก่อนที่จะมา เย้นโม่หลินได้ให้คนที่อยู่ในห้องอาหารออกไปให้หมด เหลือไว้เพียงแต่คนของตัวเอง
การลำเลียงอาหารขึ้นโต๊ะก็เป็นคนของเขาเอง
กู้จื่อเฟยใส่ผ้าปิดปาก เมื่อถึงห้องอาหารแล้ว เห็นว่าไม่มีคน ก็เหมือนว่ามีสิผ่อนคลายขึ้น
เย้นโม่หลินอาหารเช้าที่เธอชอบกิน
กู้จื่อเฟยจับช้อนขึ้น แต่กลับปล่อยลงอย่างรวดเร็ว
เย้นโม่หลินมองเธอด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือ?”
“มือไม่มีแรงเลย พี่ป้อนฉันได้ไหม”
มีเหตุผลอีกแล้ว
เย้นโม่หลินมองทะลุปรุโปร่งแผนเล็กๆของกู้จื่อเฟย แต่ก็จับช้อนขึ้นด้วยความเอาใจ เขาตักเอาโจ๊กขึ้นมาเป่าจนเย็น แล้วค่อยๆป้อนถึงปากของเธออย่างระมัดระวัง
กู้จื่อเฟยมองการกระทำของเขาตาเป็นมัน แววตาเป็นประกาย คล้ายกับมีน้ำตาซึมอยู่ในนั้น
เธอกินโจ๊กเข้าไป ค่อยลิ้มรสในปาก
“นี่คืออาหารที่อร่อยที่สุดที่ฉันเคยกิน”
เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนป้อน
“อร่อยก็กินเยอะๆ อะนี่”
เย้นโม่หลินเห็นเธอชอบกิน เขายิ่งดีใจใหญ่ โจ๊กเพิ่มให้อีกป้อนเธอต่อ
ตอนเช้าแสงแดดอบอุ่น อากาศสดชื่น รูปภาพนี้ช่างงดงามและอบอุ่น
แต่มีบางคนชอบการทำลาย
ป่ายฉียกถาดอาหารเดินมาทางนี้ หัวเราะแล้วพูดว่า
“บังเอิญจังเลย กินอาหารอยู่ที่นี่กันหมด ฉันก็ร่วมวงกับพวกเธอดีกว่า”
พูดแล้วเขาก็วางถาดอาหารบนโต๊ะ
กู้จื่อเฟยหน้าเปลี่ยนทันที เธอพูดโดยไม่ต้องคิด “ไม่ได้”
ป่ายฉีหยุดการกระทำทันที เขามองไปที่กู้จื่อเฟยด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรไป?”
กู้จื่อเฟยหมวดคิ้ว หน้าของเธอแสดงออกถึงการปฏิเสธอย่างเต็มที่ “ฉันไม่อยากอยู่ใกล้กับคนอื่น”
ในเวลาที่พูด มือเล็กๆของเธอจับอยู่ชายเสื้อของเย้นโม่หลิน อย่างกลับตื่นกลัวมากๆ
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
ตั้งแต่กู้จื่อเฟยกลับมา จะได้รับการกระทบกระเทือน เธอกลัวที่จะเข้าใกล้คนอื่น ตอนนี้ยังไม่ค่อยหายดี ป่ายฉีตอนนี้ต้องการมาร่วมวงอะไร
เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่ป่ายฉีชินพูดกันน่าจะก่อน
“จื่อเฟย ฉันไม่ใช่คนอื่น ฉันเป็นเพื่อนสนิทของเธอไง พวกเราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน พวกเราเคยร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันหลายครั้ง จะเป็นคนอื่นได้ยังไง? พาเธอไปช่วยพี่ใหญ่ตอนนั้น ระหว่างทางเธอเชื่อฟังแค่คำพูดของฉัน เธอเชื่อใจฉันมาก จึงได้เอาเรื่องที่เจียงเป้ยนีนัดเจอเธอมาบอกกับฉัน พวกเราถึงได้ร่วมมือกันช่วยพี่ใหญ่ได้ไง อีกอย่าง ถึงฉันจะไม่ใช่สายเลือดของตระกูลเย้น แต่ฉันก็เติบโตมาร่วมกับพี่ใหญ่ สามารถพูดได้ว่าเป็นน้องชายแท้ๆของเขาเลย และก็เป็นพี่ชายของเย้นหว่าน ในอนาคตเธอจะแต่งงานกับพี่ใหญ่ ฉันก็ยังจะได้เรียกเธอว่าพี่สะใภ้ พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน”
กู้จื่อเฟยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย โดนพูดจนไม่รู้จะตอบโต้ยังไง
ท่าทีของเธอน้อยอ่อนลงเล็กน้อย เธอกัดปากพูด “ฉันก็แค่ ….ก็แค่ไม่อยากเข้าใกล้คนอื่นมากเกินไป”
“ไม่เป็นไร ฉันนั่งที่นี่ก็ได้”
พูดแล้ว ป่ายฉีก็เอาถาดอาหารวางไว้ตรงที่นั่งถัดไป 2 ที่นั่ง ความกว้างของหน้าโต๊ะมีระยะห่าง 1 เมตรกว่า
เขานั่งลง พูดด้วยรอยยิ้มอย่าประชดประชัน
“เฟยเฟย เธอคงไม่ใช่ว่ากำลังจำฝังใจเรื่องที่ฉันเคยรังแกเธอใช่หรือเปล่า? คืนนั้นใช่ว่าเราคุยกันเสร็จแล้วหรือ เราดีกันแล้วไง เธอไม่ควรจะแค้นจนถึงตอนนี้”
ความหมายของคำพูดนั้น ถ้าหากเธอยังดื้อดึงจะให้เขาไป ก็หมายถึงเธอยังแค้นอยู่ นั่นก็คือไม่มีสัจจะ คนใจแคบที่เอาเรื่องเก่ามาพูดเสมอ กู้จื่อเฟยไม่รู้คำพูดที่จะมาตอบโต้ไปชั่วขณะ เธอลังเลมองระยะห่างระหว่างเธอกับป่ายฉี จึงผงกหัวตอบรับ
ป่ายฉีหัวเราะชอบใจพูดมาก “แบบนี้สิถึงเป็นครอบครัวเดียวกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น กู้จื่อเฟยความแข็งกระด้างบนหน้าของเธออ่อนลงเล็กน้อย มีรอยยิ้มแห่งความปิติปรากฏขึ้น
ครอบครัวเดียวกัน
เป็นครอบครัวเดียวกันกับเย้นโม่หลิน
เย้นโม่หลินเห็นว่ากู้จื่อเฟยไม่ได้ต่อต้านอีก เขามองดูที่ป่ายฉีอยากช่วยไม่ได้
ปากคอเราะร้าย วันๆหนึ่งไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลยคงรู้สึกไม่สบาย
เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สืบต่อป้อนอาหารให้กู้จื่อเฟย
ป่ายฉีมองพวกเขาสองคน ทั้งกินอาหารไปด้วย แล้วพูดอย่างเชื่องช้าว่า
“ใช่แล้วเมื่อคืนฉันค้นคว้ามาทั้งคืน ได้ตกลงกำหนดวิธีการรักษาแล้ว ภายใน 1 เดือนสามารถรักษาใบหน้าของกู้จื่อเฟยให้กลับมาเหมือนเดิม ไม่มีร่องรอยและผลข้างเคียงแม้แต่นิดเดียว เฟยเฟย เธออยากจะเริ่มรักษาตอนไหน?”
กู้จื่อเฟยแข็งไปทั้งตัว เธออ้าปากออกแล้วปิดเข้าเหมือนเดิม “แกร่ะ” เสียงดังขึ้นพร้อมกับที่เธอตัดลงบนช้อนที่เย้นโม่หลินใช้ป้อนอาหาร
เสียงดังขนาดนั้น ไม่รู้ว่ากัดช้อนแตกหรือเปล่า หรือว่าฟันหักแล้ว
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วด้วยความกังวล “ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร”
ป่ายฉีปรากฏรอยยิ้มสนุกบนใบหน้า “ได้ยินว่าจะรักษาผมได้ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าหากว่าเธอรีบ พรุ่งนี้ท่านสามารถผ่าตัดให้เธอได้”
“ฉันไม่อยากทำ!”
เธอปฏิเสธด้วยความเร่งรีบ ความต่อต้านแสดงออกบนใบหน้า
ป่ายฉีหรี่ตามอง
เย้นโม่หลินมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง
กู้จื่อเฟยรู้สึกตัวว่าเธอพูดเร็วเกินไป ในพริบตาเดียว เธอรีบอธิบายอย่างมีท่าทีสับสนว่า
“ฉันไม่อยากทำการผ่าตัดอีกแล้ว ฉันกลัวความรู้สึกเย็นๆของใบมีดที่กรีดลงบนหน้า ตอนนี้คิดถึงขึ้นมา ในสมองของฉันมีแต่ภาพที่พวกเขาทารุณฉันวันแล้ววันเล่า ไม่เอา ฉันไม่อยากทำการผ่าตัดอีก”
ในขณะที่พูด ตาของเธอก็แดงก่ำ กลั้นน้ำตาไม่ได้มันไหลรินออกมา
มีท่าทีอย่างกับตกไปอยู่ในฝันร้าย ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสงสาร