เธอกลัวว่าเขาจะเป็นห่วง เจ็บปวดใจ
เขาก็ไม่อยากจะเพิ่มภาระ ความกดดันให้เธอ
กู้จื่อเฟยอารมณ์พังทลาย ไม่รู้ว่าร้องไห้ไปนานเท่าไหร่ ร้องไห้จนตัวเธอเองไม่มีแรงแล้ว จึงจะเงยหน้าขึ้นจากหัวเข่าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
เธอเช็ดน้ำตาด้วยความสะอึกสะอื้น รู้สึกแย่ไปทั้งตัว
เธอเหมือนดั่งวิญญาณได้หลุดออกจากห้องครัวไปแล้ว
เธอกลับไปถึงห้อง แอบหยิบรองพื้นขึ้นมาแต่งหน้า ทำให้ดวงตาที่แดงของเธอดูแล้วเป็นปกติ
แต่ว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผล ก็ยังคงมองแล้วไม่เจริญตามากๆ
เธอไม่อยากจ้องกระจกนาน
ในไม่ช้ากู้จื่อเฟยก็จัดการเรียบร้อย เธอคิดไว้ว่าจะไปตามหาเย้นโม่หลินที่ไม่สนใจเธอมาเป็นหลายชั่วโมง
พึ่งเปิดประตูออก ก็เห็นเย้นโม่หลินที่รูปร่างสูงยืนอยู่หน้าประตูด้วยความแปลกใจ
กู้จื่อเฟยตกใจมาก “นายอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ฉันตกใจจะตายอยู่แล้ว”
เย้นโม่หลินกวาดสายตาไปทางดวงตาของเธออย่างไร้ร่องรอย พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“ไม่โกรธแล้ว?”
กู้จื่อเฟยตะลึงงัน
“อ้อ ฉันนึกออกแล้ว ฉันยังโกรธอยู่เลยนิ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ตั้งใจทำท่าถอยหลัง จะไปปิดประตู
เย้นโม่หลินทำสีหน้าจนปัญญา
เขายื่นมือไปกอดเอวของเธอ ล้มตัวเธอลงในอ้อมกอด จากนั้นก็ก้มหน้า แล้วจูบริมฝีปากเล็ก
“อื้อ……นายทำอะไร……”
เสียงตกตะลึงของกู้จื่อเฟยถูกเขากลืนกินด้วยความรุนแรง
การจูบของเขาเร่าร้อน แต่กลับอ่อนโยน เหมือนดั่งเวทมนตร์ที่อ่อนนุ่มแต่กลับไม่สามารถต่อต้านได้
กู้จื่อเฟยถูกครอบงำตลอดเวลา ราวกับสายน้ำที่ละลายอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ไม่รู้ว่าจูบไปนานเท่าไหร่ เย้นโม่หลินเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ แล้วปล่อยเธอออก
เขาก้มหน้า หน้าผากแตะกับหน้าผากของเธอ
“ริมแม่น้ำมีร้านกาแฟร้านหนึ่ง ได้ข่าวว่าบรรยากาศดีมาก สง่างาม จะไปนั่งกับฉันไหม”
กู้จื่อเฟยยังไม่ทันหวนนึกขึ้นมาจากความนัวเนีย ก็ตะลึงในคำพูดของเย้นโม่หลินอีกครั้ง
นี่เขา จะไปเดทกับเธอเหรอ?
เรื่องโรแมนติกแบบนี้ เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถใช้เวลาแบบนี้กับยัยโม่หลินที่เป็นเหมือนไม้แข็งทื่อนี่ได้
คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขากลับพูดขึ้นก่อน แน่นอนว่าเธอไม่มีทางปล่อยไปอยู่แล้ว
กู้จื่อเฟยไม่ได้ปกปิดความดีใจของเธอเลยแม้แต่น้อย “เวลาไม่เคยคอยท่า ไปตอนนี้เลย”
พูดจบ กู้จื่อเฟยก็รีบดึงเย้นโม่หลินออกไปทางข้างนอกอย่างไม่รอช้า
เย้นโม่หลินมองดูท่าทางที่กระปรี้กระเปร่าของเธอด้วยความจนปัญญา ดูเฉิดฉายสว่างไสว ดีใจ และเต็มไปด้วยเรี่ยวแรง
ทว่า เธอมีเรี่ยวแรงเยอะขนาดนี้จริงๆเหรอ
คนที่ไม่รับประทานอาหารมาเป็นเวลานาน ร่างกายควรจะอ่อนแอและเหนื่อยล้า
นัยน์ตาของเย้นโม่หลินหม่นหมองลงอีกครั้ง
ณ หน้าประตูโรงแรม ได้เตรียมรถไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
บ้านอื่นๆนั้นล้วนแต่เป็นผู้ชายเชิญผู้หญิงขึ้นรถ ทว่าเธอกลับโห่ร้องดึงเย้นโม่หลินขึ้นรถ
ป่ายฉียืนอยู่ตรงหน้าต่างบนตึก มองดูสองคนขึ้นรถที่ข้างล่างตึก นัยน์ตามืดหมองไปหมด
บนมือของเขาถือกาแฟไว้แก้วหนึ่ง ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ร้านกาแฟที่ริมแม่น้ำไม่ได้ไกลจากโรงแรมมากนัก ผ่านไปไม่นาน ก็ถึงแล้ว
ก่อนที่กู้จื่อเฟยลงรถ ได้สวมหมวกแก๊ปและผ้าปิดปาก
เธอใส่ชุดลำลองสีเทา ตัวใหญ่สบาย ทว่าร่างกายซูบผอมเกินไปจริงๆ ร่างกายในชุดลำลองจึงดูเหมือนว่างเปล่า
รูปลักษณ์นี้ เหมือนกับผู้ป่วยที่หนีออกมาจากในโรงพยาบาลเลย
ถึงขั้นตอนที่เธอเดินเข้าร้านกาแฟไป พนักงานต่างก็มองเธอด้วยความแปลกใจ
กู้จื่อเฟยดึงหมวกแก๊ปลงทันที
เย้นโม่หลินมองพนักงานด้วยความสงบเยือกเย็น จูงมือกู้จื่อเฟย แล้วเดินตรงเข้าไปในล็อบบี้ชั้นสอง
โต๊ะที่เขาเลือกคือโต๊ะติดหน้าต่างในล็อบบี้
มีระยะห่างพอสมควรกับโต๊ะอื่นๆ บรรยากาศก็เงียบสงบสง่างาม
เย้นโม่หลินหยิบเมนู “เธอชอบทานของหวานอะไร?”
กู้จื่อเฟยมองเขา พร่ำบ่นด้วยความไม่พอใจ “เป็นแฟนของฉัน แม้กระทั่งฉันชอบทานของหวานอะไรนายก็ไม่รู้ ละทิ้งหน้าที่เกินไปแล้วนะ”
“ความผิดของฉัน เธอบอกฉันตอนนี้เลย ต่อจากนี้ฉันจะจำไว้แน่นอน”
ท่าทีของเย้นโม่หลินดีมาก
แม้กระทั่งการสารภาพก็จริงจังมาก
กู้จื่อเฟยมองดูเขาที่เป็นแบบนี้ ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ไหว ก่อนหน้านี้ก็มีบางครั้งเคยครุ่นคิดว่า คุณชายเย้นที่เย็นชาไม่เป็นที่นิยมของผู้คน กลับจะมีวันหนึ่งที่จะยอมรับผิดอย่างใจกว้างขนาดนี้
เขาเหมือนกับสมบัติชิ้นหนึ่งจริงๆ ยิ่งขุดลึกลงไปเซอร์ไพรส์ก็ยิ่งเยอะ
กู้จื่อเฟยยิ้มแฉ่งแล้วพูด
“อาหารหวานที่ฉันชอบเยอะมากเลยนะ นายต้องจำให้ได้ล่ะ ฉันชอบกินสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก สาคูมะม่วง บาคลาวา สาคูมะม่วงส้มโอ เครป……”
กู้จื่อเฟยพูดมาเยอะมากเหมือนกำลังพูดเมนูอาหารเลย เกือบจะหายใจไม่ทันแล้ว
เย้นโม่หลินจ้องมองเธอ ฟังด้วยความตั้งใจมาก
หลังจากที่เธอพูดจบแล้ว ยังเติมน้ำผลไม้แก้วหนึ่งไว้ตรงหน้าเธอด้วย “ดื่มน้ำชุ่มๆ คอหน่อย”
กู้จื่อเฟยหยิบแก้วน้ำขึ้นมา มองเขาด้วยความดื้อซน “จำไว้หรือยัง?”
“อื้ม”
เย้นโม่หลินพยักหน้า พูดกับพนักงานว่า “ที่เธอพูดเมื่อกี้ ต่างก็เอามาอย่างละที่”
พนักงานตกใจมากอ้าปากค้างจนคางจะตกพื้นแล้ว
เสิร์ฟอย่างละที่? เมื่อกี้กู้จื่อเฟยพูดไปสิบกว่าอย่างเลยนะ!
โต๊ะใบนี้ของพวกเขาคงจะวางไม่พอหรอกมั้ง
แต่ว่า จุดสำคัญคือ กู้จื่อเฟยพูดประโยคนี้มาในคำครั้งเดียว เธอจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
พนักงานรู้สึกรนไปเลย มองไปทางกู้จื่อเฟยด้วยความกังวล พูดด้วยเสียงเบาว่า
“คุณผู้หญิงคะ สามารถรบกวนคุณพูดอีกรอบได้ไหมคะ? ช้าหน่อยค่ะ ฉันขอจดก่อนนะคะ”
พนักงานนำปากกามา เตรียมพร้อมไว้อย่างดี
ท่าทางของกู้จื่อเฟยที่คอแห้งกำลังจะดื่มน้ำได้หยุดลง ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พูดอีกครั้ง?
เยอะขนาดนั้นเธอนึกอะไรออกก็พูดสิ่งนั้นออกมา จะพูดออกมาอีกรอบได้อย่างไร
ในตอนที่กำลังหงุดหงิดอยู่ ขณะนี้ เย้นโม่หลินก็เปิดปากพูดโดยไม่ช้าและไม่เร็ว
“สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก สาคูมะม่วง บาคลาวา สาคูมะม่วงส้มโอ เครป แอปเปิลเคลือบน้ำตาล ขนมซานเย่าพุทราจีน……”
เขาพูดมาทีละอย่าง พูดในสิ่งที่กู้จื่อเฟยพูดซ้ำอีกรอบ
แม้กระทั่งลำดับก็ไม่ผิด
พนักงานรีบจดบันทึกทันที จดไปด้วยพลางนับถือด้วยความตกใจไปด้วย
หลังจากที่จดเรียบร้อยแล้ว เธอมองดูชื่ออาหารที่อัดแน่นอยู่บนเมนู รู้สึกนับถือจากใจจริงๆ
“คุณผู้ชายคะ คุณสุดยอดมากจริงๆ ค่ะ คุณมีความจำแบบแค่ดูผ่านตาก็จำได้ไม่ลืมเหรอคะ?”
ไม่ใช่ความสามารถของคนธรรมดาเลยจริงๆ
เย้นโม่หลินตอบกลับด้วยเสียงเบาว่า “ไม่ใช่”
พนักงานยิ่งตกตะลึงไปใหญ่ ไม่ใช่ยังจำได้เยอะขนาดนี้?
เย้นโม่หลินจ้องกู้จื่อเฟย มุมปากโค้งขึ้นแล้วยิ้ม
“ขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ ฉันไม่มีทางลืม”
แก้มของกู้จื่อเฟยแดงกระหน่ำ หัวใจทั้งหวั่นทั้งชาเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต
ยังไม่ได้ทานของหวานเลย คำพูดของเขากลับหวานยิ่งกว่าของหวานร้อยเท่า
รับไม่ไหวแล้ว
ตอนที่พี่เย้นเป็นเหมือนไม้แข็งทื่อก็ทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง แต่พออ่อยขึ้นมานี่เอาชีวิตคนจริงๆ เลย
พนักงานถูกความรักของทั้งสองยัดเข้าปาก มองแฟนของคนอื่นด้วยความอิจฉา
ในไม่ช้าอาหารหวานก็มาเสิร์ฟแล้ว
เต็มโต๊ะเลย
ตรงหน้าต่างก็เป็นสิ่งที่กู้จื่อเฟยชอบกิน เมื่อก่อนเธอสามารถกินได้เยอะมาก
ถึงแม้ว่าตอนนี้เห็นแล้ว ก็ยังรู้สึกอร่อย
ทว่าเธอจับช้อนไว้ กลับไม่กล้าขยับสักที
เย้นโม่หลินมองเธอด้วยความสุขุม นัยน์ตามืดหมอง จากนั้นก็หยิบช้อนตักสาคูขึ้นมาหนึ่งช้อน ยื่นไปยังข้างริมฝีปากเธอ
“ฉันป้อนเธอ”