กู้จื่อเฟยไม่ได้รู้สึกเกรงใจเลย โอกาสที่หายากขนาดนี้ เธอยังคิดอยากจะใช้โอกาสนี้จัดการเย้นโม่หลินอีกด้วย
ทว่า มีความคิดร้ายๆ แต่ไม่มีความสามารถนี้
เธอเหนื่อยมากแล้วจริงๆ แช่อยู่ในอ่างไม่กี่วินาที ก็หลับไปแล้ว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตลอดกระบวนการนี้ถูกอาบให้สะอาดยังไง
เย้นโม่หลินอาบน้ำให้เธออย่างระมัดระวัง
นอกจากครั้งแรกแล้ว นี่เป็นครั้งเดียวที่เขาได้ใกล้ชิดกับกู้จื่อเฟยโดยไม่มีการขัดขวางใดๆ มองทั้งส่วนบนและส่วนล่างของเธอไว้ในสายตา
ทว่า ครั้งนี้เขาไม่มีความรู้สึกในด้านนั้นเลยแม้แต่น้อย
มองดูร่างกายที่ซูบผอมจนเหลือแต่หนังของเธอ หัวใจของเขากลับเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บปวดจนรู้สึกแย่
เพียงแค่สองเดือนสั้นๆ กู้จื่อเฟยก็ผอมขนาดนี้แล้ว
นอกจากหนัง ก็เหลือเพียงแต่กระดูก
ร่างกายนี้ซูบผอมสุดจะทน ราวกับว่าเพียงแค่เขาออกแรงเล็กน้อย ก็จะแตกหัก
เป็นเพราะเขาที่ดูแลเธอได้ไม่ดี คือเขาที่ทำให้เธอต้องเจ็บแบบนี้
จะไม่มี ครั้งหน้าอีกต่อไปแล้ว
เย้นโม่หลินสาบานในใจ
กู้จื่อเฟยหลับไปนานมาก ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เป็นครั้งเดียวที่เธอหลับสบายที่สุด
ในตอนที่เธอลืมตาขึ้น เป็นช่วงบ่ายวันที่สองแล้ว
เธอถึงขั้นนอนจนรู้สึกเวียนหัว แววตาพร่ามัวไปหมด
ภายในแววตาที่พร่ามัว แวบแรกของเธอมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังชมความงามออกมาจากจิตใจ แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน จ้องเธออยู่แบบนั้น
กู้จื่อเฟยยิ้มด้วยความเคยชิน “พี่เย้น อย่าบอกนะว่าในตอนที่ฉันหลับนายจ้องฉันแบบนี้ตลอด?”
“อืม” เย้นโม่หลินตอบกลับด้วยเสียงนุ่มต่ำ
นี่ทำให้กู้จื่อเฟยตกใจมาก เธอก็แค่พูดลอยๆ กลับเป็นเรื่องจริง?
ความสัปหงกของเธอได้หายไปทันที
เธอลุกขึ้นมานั่งจากเตียง มองใบเขาจากระยะใกล้ ขอบตาดำจนถึงขั้นสามารถเป็นมาสคาร่าได้แล้ว
กู้จื่อเฟยลูบหน้าของเขาด้วยความเอ็นดู “ถึงแม้ว่าฉันจะงดงามดั่งบุปผาจนทำให้นายไม่สามารถหยุดมองได้ แต่ก็ต้องควบคุมให้อยู่ในความเหมาะสมนะ”
งดงามดั่งบุปผา?
ควบคุม?
เย้นโม่หลินฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
เขาไอออกเสียง “จะทานอาหารเช้าที่ห้อง หรือไปที่ร้านอาหาร?”
“ไปร้าน……”
กู้จื่อเฟยพูดไปแค่ครึ่งประโยค ราวกับว่านึกอะไรออก รีบเปลี่ยนคำพูด “ทานที่ห้อง”
เหมือนว่ารู้สึกเหมือนไม่ค่อยมีความมั่นใจ จึงพูดเสริมอีกประโยคหนึ่งด้วยความกลบเกลื่อน
“นอนหลับไปนาน มีความรู้สึกขี้เกียจ ไม่ค่อยอยากขยับ”
เย้นโม่หลินก็คล้อยตาม “งั้นก็ทานในห้อง”
พูดจบ เขาก็กดโทรออกไปสายหนึ่ง
ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ก็เข็นรถเสิร์ฟอาหารเข้ามา
ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นโรงแรม แต่ว่าสาวใช้ต่างก็เป็นคนที่เย้นโม่หลินพามาเอง
คนในโรงแรมเป็นคนของเขาทั้งหมด เขาจำเป็นที่จะต้องปกป้องกู้จื่อเฟยโดยไม่มีที่ติแม้แต่น้อย
กู้จื่อเฟยก็ไม่ได้ทำอะไร มองสาวใช้วางอาหารไว้บนโต๊ะในห้องเรียบร้อยแล้ว
สาวใช้จึงออกไป
กู้จื่อเฟยเองก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วนั่งลงยังข้างโต๊ะอาหารกับเย้นโม่หลิน
เย้นโม่หลินตักซุปให้เธอด้วยตัวเอง ยังอธิบายอย่างอดทนด้วยว่า
“นี่คือซุปกระดูกใหญ่ ดื่มเยอะๆหน่อย ดีต่อร่างกาย”
ตอนนี้เธอมีสารอาหารที่ไม่เพียงพอ จำเป็นต้องบำรุงดีๆ
กู้จื่อเฟยเห็นเย้นโม่หลินดูแลตนเองแบบนี้ ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นและมีความสุข ในที่สุดพี่เย้นบ้านเธอก็เปิดใจกว้างแล้ว รู้จักความอบอุ่นอ่อนโยนแล้ว
ทว่า……
มองดูลูกประคำดีควายที่ลอยอยู่บนซุปที่ขาวดุจน้ำนมนี้ กู้จื่อเฟยกลับทานไม่ลง
ถึงขั้นรู้สึกอยากอาเจียน
“เป็นอะไรเหรอ?”
เย้นโม่หลินสังเกตเห็นอาการของกู้จื่อเฟยอย่างว่องไว
กู้จื่อเฟยส่ายหัว “ไม่เป็นอะไร อาจจะเพราะว่าไม่ได้ทานเนื้อมานาน ท้องว่างเกินไป ยังไม่ค่อยชิน ฉันทานผักก่อนนะ”
หลังจากที่ได้ยินแล้ว เย้นโม่หลินก็ขมวดคิ้วขึ้น
ถึงแม้ว่ากู้จื่อเฟยจะพูดด้วยความเฉยชามากๆ ทว่าคำพูดของเธอ กลับแสดงออกให้เห็นแล้วว่าช่วงเวลานี้เธอใช้ชีวิตอยู่ยังไง
เจียงเป้ยนีทำร้ายเธอในทุกด้าน
เขาไม่ให้เจียงเป้ยนีมีชีวิตที่ดีแน่!
กู้จื่อเฟยนอนอิ่มแล้ว และรู้สึกว่าท้องว่าง หิวมาก
ทว่าในตอนที่เธอทานผักลงไป กลับรับรู้ไม่ได้ถึงรสชาติของผักเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกเหมือนกำลังเคี้ยวเทียนอยู่ยากที่จะกลืนลงไป
ทานไม่ลง ถึงขั้นอยากจะอวกออกมา
เธอมองไปทางเย้นโม่หลินด้วยนัยน์ตาที่เปล่งประกาย พยายามอดกลั้นความไม่สบายของกระเพาะ แล้วกลืนผักลงไปโดยไม่เคี้ยว
เธอยิ้มแล้วพูด “ทำไมนายไม่กิน? หรือว่าเป็นเพราะฉันงดงามเกินไป แค่มองฉันก็อิ่มแล้ว?”
เย้นโม่หลินหวนนึกขึ้นมา มองดูกู้จื่อเฟยที่พูดตลกขบขันด้วยใบหน้าที่โหดร้าย ทั้งเจ็บปวดสงสารทั้งจนปัญญา
เขาพูดอย่างเอ็นดู “อื้ม อาหารทางสายตาที่อิ่มได้”
กู้จื่อเฟยตกใจจนเบิกตากว้าง ราวกับว่าได้ค้นพบแผ่นดินจีนใหม่
“พี่เย้น แค่ไม่เจอกันสองเดือน ทำไมนายถึงกะล่อนขนาดนี้เนี่ย ปากหวานไปหมดเลย?”
มีแต่คำพูดหวานๆทุกนาที ทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นความจริงเลย
สีหน้าของเย้นโม่หลินไม่ค่อยสบาย แต่กลับพูดด้วยความจริงจัง
“สิ่งที่ฉันพูดต่างก็เป็นความในใจ”
ท่าทีที่ดูจริงจัง เป็นคนเซียนด้านปากหวานแล้วจริงๆ
ในใจของกู้จื่อเฟยหวานฉ่ำ บนใบหน้า กลับตั้งใจพูดด้วยความไม่พอใจว่า
“เมื่อก่อนไม่เคยเห็นนายเป็นแบบนี้เลย พูดสิ ตอนที่อยู่กับเจียงเป้ยนี นายก็พูดแบบนี้กับเธอใช่ไหม?”
เย้นโม่หลิน “……”
เขาตั้งใจครุ่นคิดไปสักครู่ เหมือนว่า วันที่พึ่งพาเจียงเป้ยนีกลับมา เหมือนเขายังพูดคำสารภาพรักท่อนยาวๆ ด้วย
แบบนั้นถึงจะเรียกว่าเสี่ยว……
มองดูท่าทางที่สุขุมของเย้นโม่หลิน ทันใดนั้นในใจของกู้จื่อเฟยก็กระตุกใหญ่
เธอทุบตะเกียบลงบนโต๊ะดัง “ป๊าบ” จ้องเย้นโม่หลินด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
แววตามีความดุร้าย “เย้นโม่หลิน นายยังทำอะไรกับเจียงเป้ยนีอีก? นายก็อาบน้ำให้เธอแล้วใช่ไหม? พวกนายนอนเตียงเดียวกันหมอนใบเดียวกันแล้วใช่ไหม”
“เปล่า”
เย้นโม่หลินรีบคัดค้าน ห้ามเกิดความเข้าใจผิดเด็ดขาด “เธอน่าจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเราเคยนอนด้วยกันแล้ว ดังนั้นกลางคืนจึงไม่ได้นอนกับฉัน”
หัวใจที่เกือบจะระเบิดของกู้จื่อเฟย ในที่สุดก็ค่อยๆหยุดลงแล้ว
ทว่า “ความหมายคือถ้าหากเธออยากนอนกับนาย นายก็จะนอนกับเธอ?”
เย้นโม่หลินครุ่นคิด ขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ที่จริงแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่อยู่กับเจียงเป้ยนี ฉันไม่อยากสนิทสนมกับเธอ ยิ่งไม่มีความคิดในด้านนั้นกับเธอ”
หยุดไปสักพัก เขามองตรงไปทางกู้จื่อเฟย “อยู่กับเธอ ฉันอยากกอดเธอ จูบเธอ แค่จับมือ ฉันก็อยากเอาเธอแล้ว”
ถึงแม้ว่าจะเป็นใบหน้าใบเดียวกัน การตอบสนองของเขาก็ต่างกันฟ้าราวกับเหว
ท่าทางที่เย่อหยิ่งโหดร้ายของกู้จื่อเฟย ใบหน้าอัดแน่นจนแดงกระหน่ำไปหมด
เย้นโม่หลินกลับพูดคำพูดที่ไร้ยางอายแบบนี้ด้วยสีหน้าที่จริงจัง ช่างกล้ายิ่งกว่าเธอจริงๆ ต้องอ่อยเป็นด้วยนะ
กู้จื่อเฟยยืนขึ้น พูดด้วยใบหน้าที่แดงว่า “นายมัวหมองเกินไปแล้ว ฉันไม่ทานข้าวกับนายแล้ว ฉันจะไปหาป่ายฉีรักษาหน้าให้ฉัน”
พูดจบ กู้จื่อเฟยก็รีบเดินออกไปทางข้างนอก
เย้นโม่หลินรีบลุกขึ้น ดึงเธอไว้
เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ยังไม่ทานข้าวเลย ทานเสร็จแล้วค่อยไป”
กู้จื่อเฟยมองดูอาหารบนโต๊ะที่ไม่ถูกขยับเลย ในกระเพาะกลับรู้สึกคลื่นไส้
หิวมาก ทว่าทานไม่ลงสักคำเลย