นั่นมันคือความหวาดกลัวที่ลึกที่สุดในหัวใจของเธอที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้
เวลานี้ ทุกอย่างมันถาโถมขึ้นมา
–เย้นหว่าน เห็นแล้วใช่ไหม ว่าแกไม่รู้เรื่องอะไรเลย แกมันก็แค่ภาระดีๆ นี่เอง
–แกมาถ่วงเวลาการรักษาของฉัน อีกเดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมา มาโทษฉันไม่ได้นะ
–เพราะว่า ทุกอย่างเป็นเพราะว่าแกทำให้เสียแผนหมด
ทั้งหมด เป็นเพราะว่าเธอทำให้เป็นแบบนี้ เพราะว่าเธอทำร้ายให้เสียแผน…
เย้นหว่านร่างกายหนาวสั่นเป็นเจ้าเข้า หัวใจราวกับตกไปอยู่ในก้นเหวที่ลึกที่สุด ถูกความดำมืดที่ไม่เห็นเดือนเห็นดาวเกาะกุมเอาไว้
นั่นคือความหวาดกลัวถึงขีดสุด
มันคือความหวาดกลัวไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้ ตามสัญชาตญาณ
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดจากลมปาก แม้ว่าจะเป็นการเยาะเย้ยใส่ด้วยความคิดไม่ดี เธอก็ไม่สามารถยอมรับกับคำว่าถ้าได้
อาจจะเป็นเพราะว่าอารมณ์เครียดมากของเธอ พลอยทำให้เด็กน้อยที่อยู่ในท้องเริ่มแสดงอาการต่อต้านขึ้นมาแล้ว เพราะท้องเริ่มเกิดอาการปวดตีขึ้นมาเป็นระลอก
เย้นหว่านกุมหน้าท้องเอาไว้ ทว่าดวงตามองไปที่เตียงไม่แม้แต่จะกะพริบตา พร้อมทั้งยืนอย่างหนักแน่น
โลกของเธอมีแต่ความตื่นตระหนกและดำมืด มีแค่โห้หลีเฉินเท่านั้น
แค่เขาผ่านอันตรายไปได้ ขอแค่เขามีชีวิตรอดแล้ว เธอถึงจะรอดไปด้วย
กระบวนการนี้ ก็เหมือนกับการเหยียบย่ำพุ่มหนามออกจากภูเขา และการผ่านความทุกข์ทรมานมาหลายศตวรรษ
ไม่รู้ว่ากล้ำกลืนฝืนทนผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ในที่สุด การรักษาของโห้หลีเฉินก็สิ้นสุดลงแล้ว
เลือดเขาไม่ไหลออกมาอีกแล้ว ในที่สุดร่างกายก็หยุดสั่น เขาหลับตาและนอนอยู่บนเตียง ดูแล้วกำลังเหมือนคนที่นอนหลับอยู่
แคทเธอรีนปาดเม็ดเหงื่อที่เกาะบนหน้าผากออก และมีเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ครึ่งหน้าด้วย
เธอเม้มปากอย่างไม่แยแส พลางมองเย้นหวานด้วยความรังเกียจเข้าไส้ จากนั้นก็พูดว่า “เขาพ้นวิกฤตแล้ว รอให้ผ่านไปอีกหลายชั่วโมงถึงจะตื่น”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว พละกำลังที่คอยหนุนหลังให้กับเย้นหว่าน พลันหายไปทันที
ร่างกายของเธออ่อนแรง และเป็นลมจนกองกับพื้น
โชคดีที่เว่ยชีมีไหวพริบดี พลางประคองเธอเอาไว้ได้ทันท่วงที เขาเข้าใจความรู้สึกของเย้นหว่านมาก
ครั้งแรกที่เห็นโห้หลีเฉินมีอาการกำเริบ ตอนที่เห็นความอันตรายเช่นนี้ จนเขาเองก็ตกใจขวัญผวาจนเกือบจะยืนทรงตัวไม่ไหวอยู่แล้ว
เย้นหว่านสามารถยืนดูจนครบทุกกระบวนการรักษา ทนมาถึงตอนนี้ ถือว่าช่างหนักแน่นมากแล้ว
“คุณนาย ผ่านไปแล้วไม่เป็นไรแล้ว นายท่านฟื้นขึ้นมาก็ดีขึ้นแล้ว…”
เพิ่งพูดได้ครึ่งประโยค ตอนที่เว่ยชีประคองเย้นหว่านอยู่ในเวลานั้น ทว่าก็มองเห็นภาพที่ต้องตกตะลึงแทน
สีหน้าของเขาถอดสีทันที ราวกับการกรีดร้องเสียง
“คุณนาย คุณเลือดไหล!”
เลือดไหลเหรอ?
เย้นหว่านไม่มีเรี่ยวแรงเลย พลางมองตามมาที่ด้านล่างของตนเองอย่างช้าๆ ก็เห็นว่าขาทั้งสองข้างที่อยู่ในกระโปรงนั้น มีแต่รอยเลือดไหลท่วมท้นจนเปรอะเปื้อนออกมา
ไม่รู้ว่าเริ่มไหลตอนไหนกัน
เธอเป็นห่วงโห้หลีเฉิน เลยไม่ได้สนใจ มิน่าล่ะเธอถึงได้ไม่มีแรง
พอเริ่มผ่อนคลายประสาทได้ เธอถึงรู้สึกว่าเจ็บเสียดตรงท้อง เจ็บจนทำให้เธอเกิดอาการหวาดหวั่นตาม
เสียงเธอสั่นเทา “ลูก ลูก…”
“ผมจะพาคุณไปหาหมอ!”
เว่ยชีตั้งสติได้ทัน และไม่สนใจคำว่าผู้หญิงผู้ชายมาแตะต้องตัวกันอะไรทั้งนั้น พร้อมทั้งอุ้มตัวเธอ และพุ่งตัวมุ่งหน้าออกไปด้านนอกทันที
เย้นหว่านมีหมอทางด้านสูตินรีเวชโดยเฉพาะ และสามารถปรากฏตัวอยู่ข้างกายเย้นหว่านได้ตลอดเวลา ซึ่งอยู่ห้องด้านข้างกัน
ตอนที่เย้นหว่านถูกอุ้มออกมานั้น แต่กลับหันศีรษะไป เพื่อใช้สายตามองเตียงคนไข้อย่างถวิลหา
เพื่อมองมาทางโห้หลีเฉิน
เขาเพิ่งหนีรอดมาจากความตายอยู่เมื่อครู่ ความจริงเธอก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนเขา แต่ว่าตัวเธอนั้น…
“เย้นหว่าน แกนี่มันเป็นภาระจริงๆ หาเรื่องมาทำให้วุ่นวายอยู่ตลอดเลย”
แคทเธอรีนยืนอยู่ข้างเตียง และพูดจาเยอะเย้ยอยู่
คำพูดนี้ ราวกับเข็มหมุดมันปักลงบนหัวใจของเย้นหว่าน ปักลงตรงตำแหน่งที่อ่อนล้าที่สุด
เย้นหว่านลำบากใจที่สุด พลางหงุดหงิดกับอารมณ์ของตนเอง ที่มันชอบผุดขึ้นมาแบบนี้
อารมณ์ของเธอ ยิ่งพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับกำลังล่องลอยดั่งก้อนเมฆ เผลอแวบเดียว ก็หายไปอย่างไม่รู้ตัว
ตอนที่เย้นหว่านตื่นขึ้นมาอีกครั้งนั้น ตอนที่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นฝ้าเพดานห้องสีขาวเกลี้ยงเกลา และห้องที่ตกแต่งที่ดูแปลกตาไป
นี่ไม่ใช่ห้องที่เธอพัก และไม่ใช่ห้องพักผู้ป่วยชั่วคราวของโห้หลีเฉิน
ราวกับเป็นห้องพักห้องข้างๆ กัน
“ฟื้นแล้วเหรอ?” คุณหมอที่นั่งอยู่ที่โซฟาทางด้านข้างลุกขึ้นและเดินเข้ามาหา พร้อมทั้งมองเย้นหว่านอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ยังมีตรงไหนที่รู้สึกว่าไม่สบายอยู่เปล่า?”
“บริเวณท้องยังมีความรู้สึกอยู่นิดหน่อย” เย้นหว่านอ้าปากพูด แถมกระหายน้ำมาก
คุณหมอตอบกลับ “คุณได้รับความกระทบกระเทือนไปถึงท้อง จวนจะแท้งอยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอ ต้องพักผ่อนสักระยะ เพื่อปรับสภาพให้หายดีพอหายแล้วก็หมดห่วงแล้ว”
“แต่ว่าท้องนี้ของคุณก็ท้องยากอยู่แล้ว ร่างกายของคุณกับเด็กต่างอ่อนแอ ไม่สามารถได้รับการกระทบกระเทือนได้ ต่อไปต้องระวังให้มากๆ อย่าได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ไม่งั้นคุณกับลูก ก็จะตกอยู่ในอันตรายทั้งคู่”
เย้นหว่านหนักใจ พลางยิ้มและพยักหน้าตอบรับ “ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันจะระวังเอาไว้”
“ไม่ใช่ระวัง ต้องทำให้ได้! เพื่อปกป้องตัวเอง และปกป้องลูกคุณให้ดีที่สุด เพราะว่ามีชีวิตเล็กๆ ถึงสองชีวิต”
คุณหมอพูดอย่างเคร่งขรึม
เย้นหว่านทำได้แค่พยักหน้า
“คุณนาย ดื่มน้ำสักหน่อยนะ”
เว่ยชีรีบยกน้ำเปล่าหนึ่งแก้วเข้ามาหา เพื่อให้เย้นหว่านโล่งใจตามความเหมาะสม
เย้นหว่านเห็นเขาแล้ว ทว่าพลันย่นคิ้วหากันทันที “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่? ทางโห้หลีเฉินล่ะ?”
เว่ยชีควรจะไม่ห่างโห้หลีเฉินถึงจะถูกสิ
หรือว่าหลังจากที่เธอเป็นลมสลบไป เว่ยชีก็อยู่ที่นี่ตลอดเหรอ? อาการโห้หลีเฉินอันตรายขนาดนั้น ต้องเฝ้าอย่างไม่ละสายตานี่
เว่ยชีรีบอธิบายทันควัน “คุณนายวางใจได้เลย อาการของคุณชายทรงตัวแล้ว เพิ่งฟื้นเมื่อครู่นี่เอง”
พอฟื้นแล้ว อันตรายในครั้งนี้ ถือว่ารอดผ่านไปแล้ว
เย้นหว่านถอนหายใจโล่งอก จากนั้นถึงได้ดื่มน้ำ “ฉันจะไปดูเขาหน่อย”
เธอเตรียมจะลุกขึ้นนั่ง แต่พอขยับตัวแล้ว ทว่าเหมือนฉุกคิดอะไรได้ พลันนอนลงบนเตียงทันที
อาการของเธอมันวูบวาบ เวิ้งว้าง แถมยังมึนงงมาก
“ช่างเถอะ ฉันไม่ไปดีกว่า ยังไม่ได้บอกเขาเรื่องที่ฉันไปกระทบกระเทือนกับเด็กในท้องใช่ไหม? อย่าบอกเขาเชียว เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาพลอยเป็นห่วงไปด้วย”
เว่ยชีเริ่มลำบากใจออกมาบ้าง “คุณนาย ควรจะบอกคุณชายสักหน่อยดีไหม”
“ไม่ต้องหรอก ร่างกายของเขาไม่สู้ดีขนาดนั้น” เย้นหว่านแสดงท่าทางหนักแน่น “อีกอย่าง ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว”
เว่ยชีก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
คุณหมอถึงกลับถอนหายใจออก และพูดว่า “ตอนนี้คุณยังพอเดินได้หลายก้าวอยู่ คุณสามารถไปนอนห้องพักผู้ป่วยห้องข้างๆ ได้”
พวกเขาต่างรู้ดี ว่าเย้นหว่านอยากเจอโห้หลีเฉิน
สิ่งที่เกิดคาดคือ เย้นหว่านยังคงนอนอยู่ และไม่กระดุกกระดิกเลย
แววตาของเธอสั่นไหวไม่รู้ว่ามองไปยังทิศทางไหนกัน และมีความเศร้าทุกข์ระทมเจ็บปวดแสดงให้เห็นทั้งสีหน้าและแววตา
จนเว่ยชีเริ่มกังวล “คุณนาย คุณเป็นอะไรไป?”
“เว่ยชี”
เย้นหว่านค่อยๆ อ้าปากพูด น้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันเป็นตัวก่อเรื่องให้วุ่นวายหรือเปล่า?”
“ไปเอามาจากไหน คุณนายคุณเป็นคนดีมาก” เว่ยชีรีบตอบโต้กลับทันควัน “เมื่อครู่ตอนที่คุณข่มขู่และควบคุมให้แคทเธอรีนช่วยคน คุณทำได้สุดยอดมาก คุณเป็นคนช่วยชีวิตคุณชายเอาไว้”
“ถ้าฉันไม่ทำร้ายแคทเธอรีน เธอก็คงไม่คิดที่จะไม่ยอมช่วยหรอก”
เมื่อคิดตั้งแต่ต้นจนปลายแล้ว ทุกอย่างก็เป็นเพราะว่าเธอทำผิด
บางทีตั้งแต่แรก เธอไม่ควรที่จะใช้อารมณ์โมโหจัดของตนเอง จนถึงขั้นไปทำร้ายหมอเจ้าของคนไข้ของโห้หลีเฉินเลย
เป็นเพราะว่าพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของเธอ จนเกือบทำร้ายโห้หลีเฉินอยู่แล้ว
“คุณนาย คุณไม่ได้ทำผิดอะไรนะ”
เว่ยชียืนอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงแน่วแน่มาก
“แคทเธอรีนสมควรโดนทำร้ายอยู่แล้ว แม้ว่าคุณไม่ลงมือใช้แซ่ตี คุณชายก็คงต้องสั่งสอนเธอแน่นอน ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินมาเขยิบเข้าใกล้คุณชาย นี่คือความผิดของเธอ”
“อีกอย่าง…”