ปลายสาย เสียงทรงอำนาจของหยูฉู่สองดังลอดออกมา
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่คุณเป็นหมอ ต้องให้อภัยคนไข้”
“แต่โห้หลีเฉินทำเกินไปจริงๆ นี่ไม่ใช่การให้อภัยคนไข้ธรรมดาแล้ว เขาเกลียดฉัน เขาไม่ให้ความร่วมมือกับการรักษาของฉัน แถมยังอยากทรมานให้ฉันตาย”
เย่ซือซือพูดแล้วก็โกรธยิ่งกว่าเดิม
หยูฉู่สองกลับไม่เปลี่ยนท่าที ซ้ำน้ำเสียงยังฟังออกว่ามีความเบิกบานใจเล็กน้อย
“ยิ่งเขาแกล้ง เวลาที่เธอจะได้ใกล้ชิดกับเขาก็มากขึ้นด้วย ซือซือ อย่าลืมหน้าที่ของตัวเอง”
“แต่ว่า…” เย่ซือซือสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง “ก่อนฉันจะมา ก็ไม่คิดว่าโห้หลีเฉินจะเป็นคนแบบนี้ รับมือยากเกินไปจริงๆ แม้ว่าฉันจะจับตามองทุกอิริยาบถของเขา แต่สิ่งที่ต้องจ่ายนี้มันมากเกินไปแล้ว”
“เจ้าบ้านหยู คุณก็เห็น เขาจงใจหาเรื่องฉันชัดเจนแน่นอน เขาไม่แม้แต่จะให้โอกาสฉันได้นอนพัก เพื่อให้ได้เงินจากคุณ เกรงว่าคงต้องเอาสุขภาพกับผิวพรรณไปรวมด้วย”
“เสร็จเรื่องแล้ว ค่าจ้างเพิ่มสามเท่า”
หยูฉู่สองน้ำเสียงราบเรียบ มีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจต้านทานได้ “คุณเย่ซือซือ ฉันทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างคุณ อบรมสั่งสอนคุณ ไม่ใช่เพื่อให้คุณมายอมแพ้กลางทางนะ รู้ใช่ไหม?”
เย่ซือซือพลันหน้าซีด นิ้วกุมโทรศัพท์แน่น
แม้ว่าคำพูดของหยูฉู่สองไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ความหมายที่แท้จริงกลับยังคงฟังดูข่มขู่อยู่
เขาไม่ใช่แค่ให้ค่าตอบแทนกับเธอ ก่อนที่จะมา ยังได้รับการอบรมมาก่อนด้วย กล่าวได้ว่า หยูฉู่สองลงแรงลงเวลาเพื่อพวกเขาเหล่านี้ไปมาก
ถ้าหากเธอจากไป สิ่งที่ต้องสูญเสียก็คือแรงกายของหยูฉู่สอง
สำหรับคนตำแหน่งสูงแบบเขาแล้ว แรงกายและเวลานั้นล้ำค่าเสียยิ่งกว่าเงิน
ถ้าต้องเสียหายเพราะเธอ แม้เธอจะยอมทิ้งเงินตอบแทนราคาสูง ก็ชดใช้ ‘ความเสียหาย’ ของหยูฉู่สองไม่ได้
เย่ซือซือกัดฟัน ครู่ใหญ่ ถึงเค้นเสียงออกมาจากลำคอได้อย่างยากลำบาก
“ทราบแล้วค่ะ ฉันจะทำงานให้สำเร็จ”
ตั้งแต่วันที่เข้าร่วมกับบำบัดทีมของตระกูลหยู หยูฉู่สองก็ตัดทางหนีของเธอทั้งหมดแล้ว
นี่ไม่ใช่การรักษาที่ง่ายเลย แต่พวกเขาเองก็กลายเป็นตัวหมากด้วย
แววตาของเย่ซือซือเหนื่อยล้า เธอลูบหลังคอตัวเอง ตรงนั้นเรียบเนียนไร้รอยแผล แต่ใครจะรู้ ว่าด้านนั้นได้ฝังชิปไว้
เชื่อมต่อกับข้อมูลด้านนอกได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งหมดที่เธอได้ยิน ที่ตรงนั้น ล้วนถูกหยูฉู่สองดักฟังทั้งหมดแบบเรียลไทม์
พวกเขาถูกเชิญมาในฐานะแพทย์ ทว่ากลับถูกใช้เป็น…
เย่ซือซือถอนหายใจ ค้ำร่างกายอ่อนล้าของตัวเอง เปลี่ยนชุดใหม่อีกครั้ง
เย่ซือซือตามกลุ่มคนไป แล้วกลับมายืนในห้องผู้ป่วยของหยูฉู่สองอีกครั้ง
แพทย์คนอื่น เรียงกันตรวจร่างกายของหยูฉู่สองตามลำดับ
แผนกบำบัดเป็นแผนกท้ายสุด
เย่ซือซือยืนอยู่หลังกลุ่มคน หรี่ตาครึ่งหนึ่ง สัปหงกแม้จะยืนอยู่
เสิ่นเคอหานเอ่ยด้วยความใจอ่อน “พิงฉันนอนหลับสักหน่อยเถอะ ถึงคุณแล้วเดี๋ยวผมเรียก”
เขาจะกอดเธอ ทว่าเย่ซือซือกลับหลบออก
เย่ซือซือพิงหลังกับกำแพง เอ่ยอย่างรังเกียจ “อย่ามาแตะฉัน ฉันไม่อยากสนใจคุณ”
มือที่แข็งค้างของเสิ่นเคอหานลูบจมูกอย่างจนปัญญา “ทำไมถึงยังโกรธอีกล่ะ?”
เย่ซือซือไม่สนใจเขา หลับเธอเจ็บแปล๊บ หลับตาพักเหนื่อยสักหน่อยก็ดี
โดนเร็ว ก็ถึงเวลาวินิจฉัยของแผนกบำบัด
เย่ซือซือปลุกสติ ทำการตรวจต่อเนื่องร่วมกันกับเสิ่นเคอหาน
ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเข้ากระบวนการบำบัดมาก่อน พอได้ตรวจ ถึงได้ค้นพบอย่างน่าตกตะลึงเกี่ยวกับสภาพร่างกายของโห้หลีเฉิน
เธอมองเขาด้วยแววตาซับซ้อน ครู่ใหญ่ถึงเอ่ย
“คุณมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ได้ไงเนี่ย? ร่างกายของคุณควรจะตายไปแล้วร้อยรอบตั้งนานแล้วสิ”
คนอื่นๆ “…” ยังเสียได้มากกว่านี้อีกไหม?
เสิ่นเคอหานเช็ดเหงื่อ “ซือซือ พูดจาระวังหน่อย” ถึงจะเป็นความจริง แต่ก็จะพูดแบบนี้กับคนไข้ไม่ได้
แล้วยังเป็นคนไข้จอมโหดอย่างโห้หลีเฉินอีก
โห้หลีเฉินมองเธอด้วยสายตาเย็นเยียบ “ในเมื่อฉันยังไม่ตาย เธอก็ต้องทุ่มเทรักษา ถ้ารักษาได้ไม่ได้ เธอก็มาลงหลุมฝังพร้อมกับฉัน”
เย่ซือซือตกใจจนเกือบถือเครื่องมือในมือไม่แข็งแล้วหล่นกระแทกหน้าโห้หลีเฉินแล้ว
ไอ้เลวนี่พูดว่าอะไรนะ?
ทำเหมือนยุคนี้ยังเป็นยุคทรราชเหรอ
ลงหลุมฝังพร้อมกัน? เขายังฝังศพอยู่แหละ
เย่ซือซือขบฟัน “วางใจเถอะ ร่างกายเละขนาดนี้แล้วคุณยังไม่ตาย ก็แปลว่าชีวิตของคุณเข้มแข็ง เทียบได้กับปีเตอร์ ตายไม่เป็น”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว “ปีเตอร์คือใคร?”
ได้ยินแล้ว เย่ซือซือก็หัวเราะ “พรืด”
ไม่นึกว่าแม้แต่ปีเตอร์เขายังไม่รู้จัก พลันเธอก็อารมณ์ดี รู้สึกเหมือนชนะกลับมาได้หนึ่งยก
“ปีเตอร์น่ะ ก็คือ…คนที่ยังไงก็ไม่ตาย เข้มแข็งมาก คุณเรียนรู้จากเขาไว้ล่ะ สู้ๆ ”
คนอื่น “…” แถเก่งจริงๆ กล้าหลอกได้แม้แต่คุณโห้ หาเรื่องให้ตัวเองแบบไร้สติล่ะ
ทว่าพวกเขากลับยกมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ได้
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มักรู้สึกว่ายัยคนนี้กำลังหลอกเขาอยู่
ตรวจเสร็จแล้ว ก็เริ่มการบำบัดของวันนี้
หมอส่วนใหญ่สามารถร่วมกันดำเนินการได้ วิจัยและค้นคว้าแผนการรักษาด้วยกัน แล้วพึ่งพากันใช้ ดังนั้นหมอทุกคนจึงล้วนอยู่ที่นั่นด้วย
แต่เย่ซือซือกลับไม่กระตือรือร้นเป็นพิเศษ
อนึ่ง เธออยู่แผนกบำบัด ทิศทางต่างจากแขนงอื่นๆ แล้วยังเอาไปรวมกันไม่ค่อยได้ด้วย
แน่นอนว่าเธอหย่อนยานในการรักษายิ่งกว่าเดิม ให้พวกเขารักษาไปก่อน เธอค่อยเข้าไปตอนสุดท้าย
ในจุดนี้ เสิ่นเคอหานยืนอยู่บนแนวร่วมเดียวกับเย่ซือซือมาโดยตลอด แม้จะคิดว่าเย่ซือซือจะงี่เง่ามากๆ แต่โห้หลีเฉินรังแกแฟนสาวของตน ตราบใดที่เป็นผู้ชายยังไงก็จะ…มีน้ำใจกับเขาขนาดนั้นไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ สภาพการณ์ในห้องจึงเปลี่ยนไป
หมอสิบคนยุ่งหัวหมุน เย่ซือซือและเสิ่นเคอหานราวกับเป็นคนนอกอย่างไรอย่างนั้น แยกตัวมานั่งคุยเล่นอยู่บนโซฟาแก้เบื่อ
เย่ซือซือตรงไปตรงมาก เธอพิงโซฟา แล้วสมองก็ค่อยๆ หลับลงทีละนิดๆ
แล้วยังหลับเสียลึกด้วย
เว่ยชียืนอยู่ข้างๆ รู้สึกปวดขมับ
คนไข้รายนี้กลั่นแกล้งหมอเต็มที่ หมอพยายามเลี้ยงไข้เต็มที่ แล้วอาการป่วยนี้จะดีขึ้นได้ยังไง?
ดูท่าเขาคงต้องหาโอกาสคลี่คลายความสัมพันธ์แบบนี้ซะแล้ว
เดิมเสิ่นเคอหานนั่งอยู่นอกระยะหนึ่งเมตรจากเย่ซือซือ หลังจากมองเย่ซือซือหลับปุ๋ยไป เขาก็ย้ายมานั่งข้างๆ เธอ
เขายื่นแขนโอบ แล้วกดศีรษะเล็กๆ ของเย่ซือซือมาพิงไหล่ของตัวเองทีละน้อยๆ
อิริยาบถของเขาอ่อนโยนอย่างมาก แววตานั้นโอ๋ยิ่งกว่า
เย่ซือซือหาที่ค้ำเจอ ก็ขยับร่างเล็กๆ แล้วนอนหลับสบายกว่าเดิม
เว่ยชีเห็นฉากนี้ ก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม เสิ่นเคอหานเป็นผู้ชายที่ดีมากๆ ตนหนึ่ง โกรธเง้างอนทะเลาะกับแฟนสาว แต่ตอนที่เธอหลับก็ยังดูแลเธอเงียบๆ ด้วยความใส่ใจ
ภาพนี้ ดูแล้วมีความสุขจริงๆ
น่าอิจฉา
แล้วก็ทำให้ใครบางคน…ริษยาซะแล้ว
โห้หลีเฉินจ้องมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นเยียบ ดั่งแสงอันหนาวเหน็บนับหมื่น
เสียงเย็นชาจนน่าตกใจ “พวกเขามารักษาหรือมาจู๋จี๋กันแน่? เว่ยชี ปลุกพวกเขาให้ตื่น ถ้ายังจู๋จี๋กันอีก ก็ตัดขาแล้วไล่ออกไป!”
มุมปากเว่ยชีกระตุกอย่างแรง
คุณครับ คุณแน่ใจเหรอ?
จะใจคับแคบขาดสติเกินไปแล้วไหม? อิจฉาเขาจู๋จี๋กัน ก็จะตัดขาเขาเฉย!
เมื่อก่อนคุณจู๋จี๋กับเย้นหว่าน ทำไมไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของชาวโสดคนอื่นบ้างเลยล่ะ…