เห็นโห้หลีเฉินที่เดิมทีควรจะรอเธออยู่บนรถเข็น ตอนนี้กลับนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำอย่างนิ่งๆ น้ำได้ล้นหน้าอกและท่วมตัวของเขาจนหมด
และกางเกงของเขา ก็ได้วางไว้ข้างๆ อย่างเรียบร้อย
เย้นหว่านอ้าปากค้าง พูดตะกุกตะกัก “นาย นาย นาย……..ไปอยู่ในอ่างอาบน้ำได้ยังไง?”
เขาไม่ใช่ว่าไม่ขยับไม่สะดวกหรอ?
ไม่ใช่ว่ากระดูกสันหลังของเขาอัมพาตหมดแล้ว นอกจากมือทั้งสอง ก็ไม่มีความรู้สึกแล้วไม่ใช่หรอ?
“เธอเองก็เป็นหมอ หรือว่าเธอยังสงสัยผลการวินิจฉัยของตัวเอง?”
โห้หลีเฉินยิ้มอย่างขี้เล่น สายตาที่ลึกซึ้ง ได้จ้องมองหน้าของเย้นหว่านโดยตรง
ใบหน้านี้ เขาไม่ได้เจอมานานแล้วจริงๆ
ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น เป็นความผู้พันที่ลึกซึ้งที่สุดในใจของเขา เป็นสิ่งล่อใจที่เขาไม่สามารถต้านทานได้
โห้หลีเฉินพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่แหบๆ “เย้นหว่าน มานี่”
เย้นหว่านเดินไปหาเขาอย่างเชื่อฟังเพราะติดเป็นนิสัย เดินไปด้วยสงสัยไปด้วย ในเมื่อไม่ใช่เพราะเธอวินิจฉัยผิดไป โห้หลีเฉินได้อัมพาตแล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเขาเข้าไปอยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยตัวเองได้ยังไง?
ในระหว่างที่คิด เธอก็ได้เดินมาถึงข้างอ่างอาบน้ำแล้ว
โห้หลีเฉินดึงเธอนั่งลงที่ข้างๆ อ่างอาบน้ำ บนมือของเขามีฟองติดมาด้วย ก็ได้ติดมือของเธอไปหมด
เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร มือของโห้หลีเฉินก็ได้ไปจับที่หน้าของเธอ
บนหน้ารู้สึกคันๆ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า มีฟองน้ำติดเต็มหน้าแน่ๆ
เย้นหว่านพูดอย่างช่วยไม่ได้ “นายทำอะไรเนี่ย?ฉันพึ่งล้างหน้าเสร็จนะ”
“จะอาบน้ำไปด้วยเลยไหม?”
โห้หลีเฉินยิ้มเบาๆ นิ้วมือได้จับอยู่บนหน้าของเย้นหว่านอย่างสนิทสนม
สัมผัสที่ลื่นๆ หน้าที่คุ้นเคย ทำให้เขาไม่อยากวางมือลง
หน้าของเย้นหว่านก็ได้แดงขึ้นมาทันที ปัดมือของเขาออกด้วยความเขินอาย
“อัมพาตแล้วยังไม่จริงจังอีก”
โห้หลีเฉินยักคิ้ว “นี่เธอกำลังบ่นว่าฉันทำให้เธอพอใจไม่ได้?”
หน้าของเย้นหว่านก็ได้แดงกว่าเดิม
ทำไมเธอต้องพูดเรื่องนี้กับเขาด้วยนะ?
ผู้ชายคนนี้มันไร้ยางอายอยู่แล้ว
เธอลุกขึ้นยืน “นายรีบๆ อาบเถอะ อายเสร็จแล้วค่อยเรียกฉัน ฉันออกไปเอาเสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยนให้นาย”
พูดเสร็จ เย้นหว่านก็วิ่งออกไปข้างนอก
โห้หลีเฉินยื่นมือออกไป แต่ก็ไม่ได้ห้ามเธอไว้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายแบบนี้หรอก แต่ว่าตอนนี้……
เขาไม่อยากให้ด้านที่อ่อนแอที่สุดของตัวเองปรากฏอยู่ตรงหน้าของเธอ
เย้นหว่านเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วหน้ายังแดงและหัวใจก็ยังเต้นแรงอยู่ ถึงแม้ว่าแต่งงานกันนานแล้ว แต่ต่อหน้าของเขาเธอก็ยังเป็นเหมือนสาวน้อยที่ถูกเขายั่วอยู่ตลอดเวลา
แต่ในขณะที่อาย เธอกลับอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
วันเวลาที่มีโห้หลีเฉินอยู่ข้างกาย ไม่ดีจริงๆ หรอ?
ไม่นานเธอก็หาเสื้อผ้าเจอแล้ว เคาะประตูแล้วก็เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ
ทีแรกว่าจะพยุงโห้หลีเฉินให้ลุกขึ้น แต่ว่า เธอยืนอึ้งอยู่ที่หน้าประอีกแล้ว
โห้หลีเฉินอาบน้ำเสร็จแล้ว พันผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่แล้วนั่งไว้บนรถเข็น
ถ้าไม่ใช่ว่าเขานั่งอยู่บนรถเข็น ถ้าไม่ใช่ว่าขอบๆ อ่างอาบน้ำนั้นเต็มไปด้วยฟองน้ำ เธออาจจะคิดว่าโห้หลีเฉินไม่ได้เป็นอัมพาตเลย!
เย้นหว่านมองเขาด้วยสายตาที่สงสัย ความสงสัยนั้นจะทำให้เธอเป็นบ้าแล้ว
“สรุปนายออกมาได้ยังไงเนี่ย?แล้วก็ห่อผ้าเช็ดตัวเองด้วย?”
โห้หลีเฉินบังคับรถเข็น ค่อยๆ ไหลไปอยู่ตรงหน้าของเย้นหว่าน “อยากรู้มากเลยหรอ?”
เย้นหว่านรีบพยักหน้า
โห้หลีเฉินยิ้ม “เรียกว่าสามีมาฟังหน่อย.
น้ำเสียงที่หยอกล้อนี้ ทำให้หน้าของเย้นหว่านร้อนเหมือนกับกินพริกเข้าไปเลย
สามีสองคำนี้ เมื่อก่อนเธอก็ไม่กล้าเรียกแล้ว ตอนนี้ห่างกันนานขนาดนี้ รู้สึกว่าไม่ค่อยชินเลย
อยู่ๆ ก็ให้เธอเรียก ก็ต้องเรียกไม่ออกปากอยู่แล้ว
โห้หลีเฉินรอเธอไปหลายวิ เห็นท่าทางนั้นของเธอแล้ว ก็แกล้งถอนหายใจอย่างผิดหวัง
“เธอรังเกียจฉัน……..”
“ไม่ใช่!”
เย้นหว่านรีบปฏิเสธอย่างเร็ว เธอรีบพูดขึ้นมาว่า “ทั้งชีวิตนี้ฉันไม่มีทางรังเกียจนาย!”
“สามีเธอยังไม่เรียกไม่ออกเลย……” โห้หลีเฉินส่ายหัว สายตาสิ้นหวัง “ช่างเถอะ นอนกันเถอะ เหนื่อยมากแล้ว”
พูดไปด้วย เขาก็ได้บังคับรถเข็นเลื่อนผ่านเย้นหว่าน
สีหน้าที่ผิดหวังของ ทำให้เย้นหว่านยุ่งเหยิงไปหมด
รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก
เธอรีบหันหลังเดิมตามเขาออกไป เดินอยู่ข้างหลังของเขา ห้ามหัวใจที่เต้นแรง พยายามบีบสองคำนั้นออกมาจากคอ “สามี”
รถเข็นของโห้หลีเฉินรีบหยุดลงทันที จากนั้น ก็ได้หมุน 180 องศากลับมาอย่างชำนาญ
เขามองเธอแล้วยิ้ม “เด็กดี”
เย้นหว่านมองรอยยิ้มของเขา ไม่มีร่องรอยความเสียใจอีกเลย น้ำเสียงที่พูดว่า เด็กดี ยิ่งเหมือนกับเอาเปรียบคนอื่นแล้วยังแสร้งทำเป็นทุกข์
เขาตั้งใจแกล้งเธอ
เย้นหว่านเดินเข้าไปจะทุบเขาอย่างหัวเสีย “โห้หลีเฉิน นายไม่แกล้งฉันสักวินาทีเดียว จะตายหรอ?”
โห้หลีเฉินจับมือของเย้นหว่านไว้ได้อย่างง่ายดาย ดึงเธอนั่งลงที่อ้อมกอดของตัวเอง
เย้นหว่านนั่งอยู่ที่ขาของเขา กลัวว่าจะทำให้ขาของเขาได้รับบาดเจ็บต่อ ก็เลยรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
โห้หลีเฉินกลับกอดเธอไว้แน่น ก้มหัวลงแล้วเป่าลมที่ข้างหูเธอ
“อยากรู้ว่าฉันทำได้ยังไงไม่ใช่หรอ?”
ความอยากรู้อยากเห็นของเย้นหว่านก็ถูกยั่วขึ้นมา
เธออยากรู้อยากเห็นเกินไปแล้ว
โห้หลีเฉินยิ้ม จากนั้นก็ได้กดปุ่มบนรถเข็น อยู่ๆ เก้าอี้รถเข็นก็ได้เลื่อนขึ้น ขยับไปข้างหน้า แล้วส่งเขาและเย้นหว่านไปที่ที่สูงกว่าเตียงเล็กน้อย
โห้หลีเฉินใช้ข้อศอกในการดัน ร่างกายก็ได้พาเย้แซนด์วิชหว่านกลิ้งลงไปบนเตียงนอน
พอดีเลย เธออยู่ข้างล่าง เขาอยู่ข้างบน
โห้หลีเฉินดันร่างกายไว้ด้วยแขนทั้งสอง มองเธอจากด้านบนลงมา ดวงตาของเขาลึกขึ้นมาทันที
เหมือนกับน้ำที่ลึก ที่จะกลืนกินเธอเข้าไป
เย้นหว่านยังไม่ทันอึ้งกับฟังก์ชั่นลับที่รถเข็นมี ก็ได้สบตาเข้ากับผู้ชายอย่างสับสนวุ่นวาย พูดเสียงเบาเหมือนกับมดว่า “โห้หลีเฉิน…….”
“เรียกสามี” น้ำเสียงของเขาต่ำมาก
เย้นหว่านอ้าปากแล้วเรียกเสียงเบากว่าเดิม “สามี…….อุ๊บ!”
พึ่งเรียกออกเสียงก็ถูกเขาปิดปากแล้ว จูบที่มากะทันหัน เหมือนกับฝนโปรยปรายที่กลั่นมานาน
และเธอก็อยู่ท่ามกลางฝนฟ้านั้น เหมือนกับต้นไม้อ่อนที่ถูกลมพัดไปมา ไม่มีแรงที่จะต้านเลย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน โห้หลีเฉินถึงได้ปล่อยเย้นหว่านออกอย่างหอบ
เขากัดปกแล้วพูดว่า “เรียกป่ายฉีมาเถอะ”
เย้นหว่านถูกเขาจูบจนอ่อนแรงไปหมด วิญญาณยังลอยอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นปีไหน
กลับได้ยินเขาพูดถึงป่ายฉีในเวลาที่โรเมนติกแบบนี้
ดึกขนาดนี้แล้ว เรียกป่ายฉีมาทำไมกันนะ
เย้นหว่านไม่ค่อยเต็มใจ
โห้หลีเฉินเตะที่จมูกของเธอแล้วขยับเข้าไปใกล้ที่หูของเธอ แล้วพูดว่า
“เรียกเขามารักษาขาของฉัน ฉันรอไม่ไหวแล้ว”
“คำพูดสุดท้ายนั้น กิ๊กกันจนทำให้คนหน้าแดงและหัวใจเต้นเร็วมาก เย้นหว่านเหมือนกับกุ้งที่ถูกเผาจนสุกไปทั้งตัวเลย ทั้งแดงและม้วน
เธอสับสนวุ่นวายจนไม่กล้ามองหน้าของเขา ลุกขึ้นมาเหมือนกับว่ากำลังหนีภัยอะไรสักอย่าง วิ่งไปโทรศัพท์ข้างๆ