“หลังจากที่ผมรู้เรื่องนี้เข้า จึงได้ไปหาป่ายฉี แต่ไม่มีความรู้ด้านการสะกดจิตเท่าไหร่ จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในทันที
และวิธีที่เร็วที่สุดก็คือการลงมือจากตัวของแองเจล่านั่นเอง ถ้าสามารถรู้ว่าเธอใช้ยาอะไรกับผม ป่ายฉีก็สามารถวิจัยยาแก้ออกมาได้
นั่นจึงเป็นเหตุที่เมื่อคืนผมไปร่วมงานกับแองเจล่า แล้วใช้สติที่มีอยู่ครึ่งหนึ่งล่อลวงเธอ หาโอกาสค้นยาแก้ให้เจอ”
พูดไป โห้หลีเฉินก็ชะงัก แล้วมองเย้นหว่านด้วยความเป็นห่วง
“แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ คุณที่กินซุปบำรงจิตไปแล้ว กลับตื่นขึ้นมาในตอนดึก ตอนแรกผมตั้งใจที่จะปิดบังคุณไว้ รอให้ทุกอย่างสิ้นสุดแล้วค่อยเล่าให้คุณฟัง เพื่อไม่อยากให้คุณเป็นห่วง และไม่อยากให้คุณรู้ว่าหัวใจของผมถูกบังคับให้มีคนอื่น คุณต้องรู้สึกเจ็บปวด แต่ว่า……”
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเจ็บปวดที่มากกว่า
ถ้าโห้หลีเฉินรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาก็คงจะบอกเย้นหว่านตั้งแต่แรกแล้ว ถึงต้องเปลี่ยนไปจัดการด้วยวิธีอื่นก็ยังดีกว่าทำให้เธอต้องร้องไห้เสียน้ำตาแบบนี้
เย้นหว่านนั้นงงไปหมดแล้ว
เหมือนคนที่เพิ่งถูกฟ้าผ่า แต่กลับถูกผ่าอย่างน่าขัน ความหม่นหมองในใจได้มลายหายไปทันที
ที่แท้ทุกอย่างมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้นเองเหรอ?
โห้หลีเฉินไม่ได้นอกใจ พฤติกรรมผิดแปลกที่เขาแสดงออกมาทั้งหมด ต่างก็เป็นเพราะถูกแองเจล่าสะกดจิตจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เท่านั้น
แต่เขาก็ยังมีสติที่จะหาทางแก้ไขมันอยู่ตลอด
ส่วนเธอนั้น แม้แต่โอกาสที่จะอธิบายยังไม่ยอมให้เขา ก็เข้าใจผิดไปซะแล้ว แถมยังจากมาอย่างเอาแต่ใจแบบนั้นอีก……
จมูกของเย้นหว่านเมื่อยล้ากว่าเดิม น้ำตาก็ไหลหนักยิ่งกว่าเดิม
“คุณมันสารเลว! โห้หลีเฉินคุณมันสารเลว! สารเลว!”
เย้นหว่านร้องไห้ไปด่าไป กำปั้นก็ทุบลงที่หน้าอกของเขาอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกในใจนั้นย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
แต่มันไม่ใช่ความอึดอัดที่ทรมานแล้ว
แต่เหมือนราวกับว่าในชั่วพริบตานี้ เธอได้เกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจได้กลับมาเต้นดังเดิม
โห้หลีเฉินน้อมรับการทุบตีจากเธอ จึงมองที่เธอ ด้วยสีหน้าที่รักใครอย่างถึงที่สุด แถมยังแอบโล่งอกไปที
การที่เย้นหว่านทุบตีเขา ต่อว่าเขา แต่ไม่ใช่การทำตัวเย็นชาใส่ มันก็ถือเป็นการคืนดีกันแล้ว
เขาคิดไว้ก่อนแล้ว ว่าหลังจากที่เธอได้รู้ความจริง เธอก็จะให้อภัยเขา แต่เขาก็ยังกังวลว่าสุดท้ายแล้วเหตุการณ์ในนี้จะทำให้เธอเกิดปมในใจหรือทำตัวห่างเหิน ส่งผลให้เธอไม่สามารถทำใจได้ในเวลาสั้นๆ
ดูแล้วตอนนี้ การที่วันนี้เขาออกมา มันก็คุ้มค่าอยู่เหมือนกัน
หลังจากที่ปล่อยให้เย้นหว่านทุบตีเขาไปพักหนึ่ง ได้ระบายอารมณ์แล้ว โห้หลีเฉินถึงได้จับกุมมือของเธอเอาไว้เบาๆ
สีหน้าดูจริงจังและจริงใจอย่างถึงที่สุด
“ที่รักครับ ต่อไปผมจะไม่ทำตัวเหลวไหลอีกแล้ว ”
พอเห็นสีหน้าที่เขาแสดงออกมา ไฟแห่งโทสะสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในใจของเย้นหว่านก็ได้มลายหายไป
เธอทนไม่ไหวจนอยากขำออกมา เธอทุบตีเขาอย่างเอาแต่ใจ เขาก็ยังน้อมรับมันอย่างเต็มอกเต็มใจ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มันถือเป็นการยืนยันคำพูดคำนั้นได้เลย ว่าตอนที่ทะเลาะกัน สิ่งที่ภรรยาพูดมานั้นถูกทุกอย่าง ต่อให้เป็นเรื่องที่ผิดก็ยังกลับกลายเป็นถูก
ไม่นึกเลยว่าโห้หลีเฉินก็ไม่ต่างกัน
เย้นหว่านทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ รู้ว่าตัวเองไม่มีภาพพจน์อะไรหลงเหลือแล้ว จึงได้ทำตัวงี่เง่าอย่างหลงตัวเอง
“อย่าคิดว่าฉันจะยกโทษให้เร็วขนาดนี้นะคะ ต้องดูการทำตัวของคุณหลังจากนี้ก่อนค่อยว่ากัน ฮึ”
โห้หลีเฉินได้กุมมือเล็กๆ ทั้งของของเธอไว้ในมือ แล้วเอามาวางไว้ตรงหัวใจ “ครับ ผมจะทำตัวดีๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งการยกโทษของท่านภรรยาครับ”
มุมปากขอเย้นหว่าน ทนไม่ไหวจนต้องแย้มขึ้นมาแล้ว
ภายในใจ เป็นดั่งดอกไม้นับร้อยที่เบ่งบาน งดงามราวกับฤดูใบไม้ผลิ
ทั้งสองต่างจ้องมองอีกฝ่าย ราวกับสายฝนเม็ดใหญ่ที่เทลงมา ต่างก็กลายเป็นกลีบกุหลาบไปจนหมด ในอากาศก็อบอวลไปด้วยความรักที่อุ่นหวาน
“เด็กสองคนนี้นี่ คุยกันเสร็จแล้วก็เลิกตากฝนได้แล้ว อยากเป็นหวัดกันจริงๆ ใช่มั้ย? รีบเข้ามาได้แล้ว!”
ในตอนนั้นเอง กงจืออวีที่ยืนอยู่ตรงประตูกระจก ก็ตะโกนให้เย้นหว่านกับโห้หลีเฉิน
ข้างๆ ของเธอมีเย้นเจิ้นจื๋อ เย้นโม่หลิน กู้จื่อเฟยแล้วก็ป่ายฉียืนอยู่ด้วย
พวกเขาทุกคนต่างทำหน้ายิ้มแย้มด้วยความยินดี
ตอนที่เย้นหว่านเพิ่งกลับมาถึง ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าแววตาของเธอกำลังกักเก็บน้ำตาเอาไว้ ยังมีความรู้สึกทุกข์ใจที่ไม่รู้ว่าจะทุกข์ยังไงหลงเหลือ ในตอนนี้ พอโห้หลีเฉินมาถึง ก็สามารถกล่อมเธอได้อย่างง่ายดาย
เขยคนนี้ ยังพอมีประโยชน์อยู่
เสียงตะโกนของกงจืออวีทำให้เย้นหว่านตกใจจนสะดุ้ง และนั่นก็ทำให้รู้ว่าคนกลุ่นนั้นกำลังยืนมองพวกเธออยู่ที่หน้าประตู
งั้นภาพที่เธอทำตัวกระหนุงกระหนิง หยอกกันไปกันมากับโห้หลีเฉิน ก็ถูกเห็นด้วยนะสิ?
รวมถึงตอนที่เธอทุบกำปั้นลงไปที่หน้าอกเขาด้วย?
การกระทำที่ดูเด็กและเอาแต่ใจแบบนี้ มันก็ทำให้เย้นหว่านนั้นหน้าแดงขึ้นมาทันที จนอยากที่จะหาหลุมสักแหล่งบนพื้นแล้วมุดเข้าไปเลย!
เธอได้ดึงมือออกจากมือของโห้หลีเฉินทันที แล้วก้าวถอยหลังสองก้าว ทิ้งระยะห่างกับเขา “รีบเข้าไปเถอะค่ะ อย่าตาก……”
ยังไม่ทนได้พูดจบ เย้นหว่านก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงได้หยุดพูดไปทันที
เธอจ้องมองโห้หลีเฉินด้วยความอึ้ง สีหน้าดูไม่อยากจะเชื่อ แล้วค่อยๆ ดึงสติกลับมาได้ทีละนิด ตั้งแต่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้ โห้หลีเฉินไม่ได้จับเธอเพื่อประคองตัวเลย แต่เขาสามารถยืนได้อย่างมั่นคง!
ยืนตรงอย่างกับพู่กัน ถึงขั้นไม่มีอาการไม่โซเซเลยสักนิด
ริมฝีปากบนของเย้นหว่านมาสัมผัสกับริมฝีปากล่างด้วยความอึ้ง “ขาของคุณ……”
โห้หลีเฉินที่ตั้งใจจะดึงเย้นหว่านเข้าไปกอดอีกครั้ง ก็ต้องชะงักไปทันที
สายตาของเขาสั่นไหว จากนั้นก็ดูรู้สึกผิดขึ้นมาทันที จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปทับเธอไว้ทั้งตัว
น้ำเสียงของเขาฟังดูเปราะบางมาก “ผมยืนต่อไม่ไหวแล้ว ขามันเจ็บ”
“เย้นหว่าน “……”
นี่คิดว่าเธอโง่รึไง?
เรื่องถึงขั้นนี้แล้วยังคิดว่าเธอจะเชื่อเรื่องขาของเขาอีกเหรอ?
สายตาที่เดือดดาลของเย้นหว่าน จ้องเขม็งไปยังโห้หลีเฉินด้วยความโมโห “นี่คุณโกหกฉันอีกแล้วใช่มั้ยคะ? ขาของคุณมันหายดีแล้ว? สามารถลุกเดินได้แล้ว?”
โห้หลีเฉินทำหน้าเหวอเล็กน้อย แต่ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลา จึงยังสามารถรักษาความจริงใจที่อ่อนแรงได้
“ผมไม่ได้หลอกคุณ ผมไม่เคยพูดมาก่อนว่าผมยืนไม่ไหว”
เย้นหว่านกัดฟันแน่น “แล้วทำไมเมื่อกี้คุณถึงยังดูลุกขึ้นมาได้อย่างยากลำบากขนาดนั้นอีก? แถมยังเกือบล้มด้วย?”
เพราะเห็นว่าเขากำลังลำบาก กำลังจะล้ม เย้นหว่านถึงได้รีบวิ่งลงมาโดยที่ไม่สนอะไรทั้งนั้น
แต่ดูแล้วตอนนี้……
นี่มันเป็นการเล่นละครของเขาชัดๆ!
แกล้งทำตัวน่าสงสาร? เพื่อให้เห็นใจสินะ?
โห้หลีเฉินเม้มปาก พูดได้อย่างกับเป็นเรื่องจริง
“เมื่อกี้มันเป็นเพราะ ฝนมันตกหนักเกินไป ที่จับมันเลยลื่น”
“เหรอคะ?”
เย้นหว่านกัดฟันแล้วเก็บกระดานซักผ้าที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้ววางมันเอาไว้ตรงขาเขาอย่างเป็นระเบียบ
จากนั้นก็พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ในเมื่อคุณมีความจริงใจในการรับผิดถึงขนาดนั้น งั้นตอนนี้ก็เริ่มคุกเข่าบนกระดานซักผ้าได้เลยค่ะ คุกเข่าจนถึงตอนที่ฉันให้อภัยคุณ คุณค่อยลุกขึ้นมา”
โห้หลีเฉิน “……”
กลุ่มคนที่ยืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคา “……” ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว
โหดเหี้ยม
เย้นหว่านถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วไม่สนใจโห้หลีเฉินอีก หมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าไปด้านในด้วยความโมโห
ผู้ชายสารเลวที่สมควรตาย
ไอ้คนกะล่อน
กล้ามาหลอกลวงความเห็นอกเห็นใจของเธอ หลอกให้เธอลงมาด้านล่าง หลอกให้เธอใจอ่อน หลอกให้เธอให้อภัย
โห้หลีเฉินยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น สายฝนที่หนาวเย็นกำลังกระแทกลงบนตัวเขา ลมหนาวก็พัดใส่อย่างไม่ยั้ง
เขามองดูแผ่นหลังของเย้นหว่าน ร้องเธอเบาๆ “ที่รัก……”
ช่างเป็นเสียงที่นาสงสารเหลือเกิน
สีหน้าของเย้นหว่านดูโหดยิ่งกว่าเดิม แสดง! ยังจะแสดงอยู่อีก! ไม่เจอกันปีกว่า โห้หลีเฉินนี่เก่งกาจมากขึ้นทุกวันแล้ว แม้แต่การแสดงก็ยังร้ายกาจถึงเพียงนี้