ระบายเหรอ?
กู้จื่อเฟยมองดูทั้งสองต่อสู้กัน โห้หลีเฉินไม่มีท่าทีที่จะยอมพูดดีกับป่ายฉีเลย นี่มันไม่เหมือนเป็นการทำให้ป่ายฉีได้ระบายเลยสักนิด!
“ตุบตุบตุบ”
ทั้งสองสวนกันไปมา และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่โต๊ะกินข้าวก็ยังกระทบไปด้วย
และระหว่างการป้องกันและโจมตีนั้น บนตัวของทั้งคู่ต่างก็มีรอยแผลขึ้นเรื่อยๆ
ตุบ—-
ทันใดนั้น กำปั้นของป่ายฉีก็ซัดใส่ใบหน้าของโห้หลีเฉินไปทีหนึ่ง
ใบหน้าที่เย็นชาจนน่าหมั่นไส้ของเขาถูกต่อยจนเบี้ยว ริมฝีปากบางๆ มีเลือดไหลออกมา
หมัดนี้ มันรุนแรงกว่า โหดเหี้ยมกว่าหมัดที่ผ่านๆ มา
ประเด็นคือมันชกไปที่หน้าด้วย
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบทันที
แม้แต่ไป๋ฉียังต้องช็อก
เขามองโห้หลีเฉินด้วยความช็อก ผ่านไปตั้งนานก็ยังตั้งสติไม่ได้ หมัดเมื่อกี้ ด้วยฝีมือและการป้องกันของโห้หลีเฉินนั้นชกไม่โดนหรอก
แต่ว่าเมื่อกี้ โห้หลีเฉินกลับจงใจยั้งมือ ยอมให้เขาชกไปทีหนึ่ง
โห้หลีเฉินยอมให้เขาต่อยอย่างนั้นเหรอ?
สายตาที่ป่ายฉีมองโห้หลีเฉินนั้นซับซ้อนมาก “นี่มันหมายความว่ายังไง?”
ทหารนั้นฆ่าได้หยามไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาสู้โห้หลีเฉินไม่ได้สักหน่อย ไม่จำเป็นต้องออมมือให้เขา!
โห้หลีเฉินใช้นิ้วเช็ดเลือดตรงมุมปากออก “สะใจรึยัง?”
สะใจอย่างนั้นเหรอ?
สะใจอะไร?
ป่ายฉีอึ้งแล้วอึ้งอีก แต่ก็รู้สึกจริงๆ ว่า หมัดเมื่อกี้มันทำให้เขาสะใจมากจริงๆ
เขารู้สึกสะใจจริงๆ
เดี๋ยวนะ หรือนี่โห้หลีเฉินตั้งใจให้เขาต่อยอย่างนั้นเหรอ? เพื่อให้เขาสะใจ?
ป่ายฉีรู้สึกสับสนขึ้นมา แต่เขาก็สามารถเข้าใจจุดประสงค์ของโห้หลีเฉินขึ้นมาทันที
โห้หลีเฉินทำไปเพื่อช่วยเขา……
ทันใดนั้นสายตาที่ป่ายฉีมองโห้หลีเฉินก็ดูเป็นมิตรขึ้นมาทันที ความรู้สึกไม่ชอบใจกับความรำคาญที่เก็บไว้ได้ถูกลบล้างไปจนหมด หลังจากที่ถูกสะกดจิต เขาก็ไม่ได้รู้สึกสบายอกสบายใจแบบนี้มานานแล้ว
ตอนนี้เหมือนเขาจะไม่จำเป็นต้องให้น้าเมย์ทำการสะกดจิตครั้งสุดท้าย ก็สามารถหลุดออกจากการถูกสะกดจิตได้ด้วยตนเอง กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง
อย่างน้อย ตอนที่มองหน้าโห้หลีเฉินก็ไม่ได้กัดฟันแล้ว
“โห้หลีเฉิน อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะรู้สึกซาบซึ้งนะ เรื่องที่คุณด่าผม มันไม่จบง่ายๆ หรอก”
ป่ายฉีพูดอย่างโมโหด้วยความเย่อหยิ่ง จากนั้นก็หมุนตัว แล้วเดินจากไปอย่างดูดีและสง่างาม
โห้หลีเฉินทำเสียงฮึดฮัด แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
เขาหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดเลือดที่ติดอยู่ตรงปลายนิ้วออกทีละน้อย เป็นการกระทำที่เชื่องช้าแต่มีราศี ราวกับเมื่อกี้เขาไม่ได้ตีกัน แต่เป็นการเดินแบบ
ถึงแม้เย้นหว่านจะไม่รู้ว่าระหว่างโห้หลีเฉินกับป่ายฉีนั้นตีกันเรื่องอะไร แต่เธอก็พอรู้คร่าวๆ ว่า โห้หลีเฉินนั้นจงใจยั่วยุป่ายฉี
แล้วยังจงใจให้ป่ายฉีต่อยด้วย
ถึงแม้จะรู้อย่างนั้น แต่พอเห็นเลือดที่มุมปากของโห้หลีเฉิน เย้นหว่านก็รู้สึกทั้งอัดอั้นทั้งเป็นห่วง
เธอจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ “ไม่รู้จักเจ็บรึไงคะ?”
แววตาของโห้หลีเฉินกระตุกเล็กน้อย แล้วถึงเย้นหว่านมาข้างหน้าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
จากนั้นก็กระซิบออกมาเบาๆ ว่า “ถ้าคุณหอมแก้มผมสักที มันก็จะหายเจ็บทันทีเลยครับ”
อยากให้หอมเขาอย่างนั้นเหรอ?
“ฝันไปเถอะ”
เย้นหว่านผลักเขาออกไป “เจ็บให้ตายไปเลยสมน้ำหน้า”
ไม่รู้จักดูแลตัวเอง
พูดจบ เย้นหว่านก็ไม่สนอกสนใจเขาอีก ทำหน้าบึ้งตึงแล้วเดินจากไป
โห้หลีเฉินขำออกมาอย่างเงียบๆ ภรรยาของเขานี่เจ้าอารมณ์ขึ้นไปทุกทีแล้ว
เขาหันไปพูดกับเย้นโม่หลินว่า “จะวางแผนเมื่อไหร่ เรียกผม ผมไปแล้ว”
ง้อเมียสำคัญกว่า
โห้หลีเฉินบังคับรถเข็น ตามหลังเย้นหว่านไปอย่างสง่างาม
เย้นโม่หลินนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย มองดูคนสองคนที่เดินตามกันไป ความอบอุ่นสายหนึ่งแวบเข้ามาในสายตาเขาแบบเนียนๆ
เรื่องมาถึงวันนี้ เย้นหว่านกับโห้หลีเฉินสามารถอยู่กันด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ มันก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ แล้ว
เพื่อปกป้องความสงบสุขในตอนนี้ ก็จำเป็นต้องสร้างสงครามที่ใหญ่กว่าเดิม ต้องทุ่มสุดตัวจะได้มีทางรอด เขาจะปกป้องน้องสาวให้ดี ปกป้องคนในครอบครัวให้ได้
“พี่เย้นคะ”
ตอนที่เย้นโม่หลินกำลังคิดอย่างเหม่อลอยอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงที่ชนขนลุกดังขึ้นเบาๆ
น้ำเสียงแบบนี้ เย้นโม่หลินคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ร่างกายของเขาสะดุ้งตามสัญชาตญาณไปทีหนึ่ง หันหน้าแล้วมองไปทางกู้จื่อเฟย เม้มปาก แย้มยิ้มออกมา
“เฟยเฟย มีอะไรเหรอ?”
พูดจบเข้าก็เอื้อมมือจะไปกอดเธอ
กู้จื่อเฟยกลับหลบไปด้านหลังอย่างสง่างาม ทิ้งระยะห่างจากเขา เธอมองตรงๆ ไปที่เขา แล้วพิจารณาเขาด้วยสายตาที่แหลมคม
จนเย้นโม่หลินถึงกับต้องกลืนน้ำลายเลย ทุกครั้งที่กู้จื่อเฟยทำเสียงแบบนี้ ทำท่าทำทางแบบนี้ แสดงว่าเขาต้องทำอะไรผิดไป ทำให้เธอโกรธ สิ่งที่รอคอเขาอยู่ก็มีแต่การทารุณกรรมเท่านั้น
ถึงแม้ทุกครั้งเขาจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรก็ตาม
เย้นโม่หลินก็จะทำตามเงื่อนไข ง้อเธอด้วยความเคยชิน “ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่าครับ? คุณพูดมาเลย ผมจะแก้ไขมัน!”
เขาพูดออกมาอย่างจริงใจและให้เกียรติ
กู้จื่อเฟยยังคงทำหน้าเหมือนเดิม ส่ายหน้า “พี่ไม่ต้องแก้หรอกค่ะ”
เย้นโม่หลิน “……” ไม่ต้องแก้ แบบนี้มันไม่ยิ่งไปกันใหญ่เหรอ?
แต่เขากำลังกินข้าวอยู่ดีๆ เหมือนวันนี้จะไม่มีเรื่องอะไรที่ไปทำให้เธอไม่พอใจเข้านี่
“ขอแค่คุณบอก ผมก็ไม่ขัดข้อง เฟยเฟย อย่าเอาแต่จ้องผมแบบนี้เลย ตอนคุณยิ้มมันดูดีกว่าเยอะเลยครับ”
พูดจบ เย้นโม่หลินก็เข้าไปกอดกู้จื่อเฟยอีกครั้ง
กงจืออวีกับเย้นเจิ้นจื๋อพร้อมใจกันวางตะเกียบลง แล้วค่อยๆ ลุกออกจากโต๊ะไป
ลูกชายนั้นทำตัวน่าอายเกินไป พวกเขาไม่อยากทนดูอีกต่อไปแล้ว
กู้จื่อเฟยหลบเขาอีกครั้ง
สีหน้าของเธอจริงจัง “นี่พี่มีเรื่องอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่มั้ยมั้ยคะ?”
เย้นโม่หลินทำหน้ามึนงง
เรื่องที่เขาปิดบังเธอมันมีเยอะขนาดนั้น แล้วเธอไปรู้เรื่องไหนเข้าล่ะ?
“อะไรที่คุณถามผม ผมก็จะตอบคุณทุกอย่างเลย” เย้นโม่หลินพูด
กู้จื่อเฟยจ้องเขม็งมาที่เขา ผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้พูดออกมาว่า “พูดความจริงเหรอ?”
ถึงแม้สองปีที่อยู่ด้วยกันมา เย้นโม่หลินนั้นทำดีกับเธอมากจริงๆ ไม่ว่าจะขออะไรก็จะทำให้ทุกอย่าง มีมนุษยธรรมมากขึ้นทุกที แต่ภาระที่อยู่บนบ่าเขามันหนักมาก สองปีมานี้เขาถึงกับต้องแบกตระกูลเย้นทั้งตระกูลขึ้นบ่าเลย
มีหลายๆ เรื่องที่อาจทำให้เป็นห่วง เขาก็เลือกที่จะปิดบัง
กู้จื่อเฟยเองก็พอรู้อยู่เหมือนกัน จึงไม่ได้ถามอะไรมาก
แต่ว่า……
“เราเคยตกลงกันแล้ว ว่าพี่จะไม่ปิดบังเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวหว่าน”
เย้นโม่หลิน “เรื่องของเสี่ยวหว่านผมไม่เคยปิดบังอะไรคุณเลย”
“จริงเหรอคะ?” กู้จื่อเฟยไม่เชื่อ “แล้วทำไมพี่ถึงรู้เรื่องความแค้นระหว่างโห้หลีเฉินกับป่ายฉีได้หล่ะคะ? ไม่เห็นพี่จะเคยบอกฉันเลย”
ถึงแม้เมื่อกี้โห้หลีเฉินกับป่ายฉีจะตีกันขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ตอนเลิกก็เลิกอย่างแปลกๆ แต่เรื่องสะกดจิตนั้นเธอเองก็รู้ด้วยเหมือนกัน
ที่สองคนนั้นตีกัน หลักก็เพราะเย้นหว่าน
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเย้นหว่าน ที่ผ่านมากู้จื่อเฟยก็ค่อนข้างใส่ใจอยู่แล้ว
ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เย้นโม่หลินรู้สึกโล่งอกในทันที
เขาจึงอธิบายไปว่า “สำหรับเรื่องของสองคนนั้น ผมก็รู้พอๆ กับคุณนั่นแหละ ผมสาบานได้เลย ที่ผมรู้ว่าโห้หลีเฉินจงใจยุให้ป่ายฉีโกรธนั้นผมก็แค่ทายครับ”
“โห้หลีเฉินถึงจะปากร้าย แต่ปกติก็ไม่ได้ต่ำทรามแบบนี้ เขาจะไม่ไปดูถูกคนอื่นแบบนี้ การที่วันนี้เขาทำแบบนั้น ผมกลับรู้สึกว่า เขาต้องมีแผนอะไรอยู่แน่”
“ส่วนการที่จงใจยุให้ป่ายฉีโกรธ แล้วบวกกับเรื่องก่อนหน้านี้ ผมจึงทายว่า โห้หลีเฉินตั้งใจจะให้ป่ายฉีได้ระบาย ช่วยเขาให้หลุดพ้นจากผลกระทบของการถูกสะกดจิต”
ถึงจะเป็นแค่การทาย แต่กลับทายถูกทุกอย่าง
พอได้เข้าใจในสิ่งที่เย้นโม่หินคิด สายตาที่กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินก็ลึกซึ้งเข้าไปอีก
เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยการตั้งข้อสังเกต “แสดงว่าพี่เองก็รู้ ว่าพวกเขาเป็นศัตรูหัวใจกันสินะ? ทำเพื่อความรัก?”