แต่แล้ว หลังจากที่เย้นหว่านวิ่งออกไปได้สักพัก ทันใดนั้น ก็ได้มีคนร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่งพุ่งออกมาจากพุ่มดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ
เขาได้กอดเย้นหว่านจากทางด้านข้าง
“ที่รัก จะวิ่งทำไมครับ?”
เสียงที่ทุ้มลึก อ้อมกอดที่คุ้นเคย ถ้าไม่ใช่โห้หลีเฉินแล้วจะเป็นใคร!
เย้นหว่านตัวเกร็งไปทันที หันหน้าไปมองโห้หลีเฉินที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ หัวใจดวงที่แทบจะทะลักออกมา ก็ได้แข็งเกร็งขึ้นมาทันที
จมูกของเธอเมื่อยล้า น้ำตาได้หมุนวนอยู่รอบดวงตา สะอึกสะอื้นจนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“นี่คุณไปไหนมาคะ? ฉันตกใจแทบแย่!”
ตอนแรกโห้หลีเฉินตั้งใจที่จะเซอร์ไพรส์เย้นหว่าน แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะทำให้เธอตกใจ
เขาจึงรีบกอดร่างของเธอให้แน่นกว่าเดิม “พอดีผมเห็นว่าดอกไม้ตรงนั้นมันสวย เลยจะไปเด็ดมาให้คุณครับ”
พูดจบ โห้หลีเฉินก็ยื่นช่อดอกไม้ที่สวยงามช่อหยุดมาที่ตรงหน้าของเย้นหว่าน
ผลิบานจนแดง ประดับไปด้วยใบไม้ สวยกว่าที่ไปซื้อมาจากร้านขายดอกไม้เสียอีก
เย้นหว่านที่กำลังจ้องมองดอกไม้ ก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือยิ้มดี
ดังนั้นเมื่อกี้มันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย โห้หลีเฉินแค่เดินไปเด็ดดอกไม้เท่านั้น แต่เธอกลับทำให้ตัวเองตกใจเป็นการใหญ่
แต่เย้นหว่านก็ยังกำเสื้อของโห้หลีเฉินไว้แน่น
โห้หลีเฉินมองเธอด้วยความปวดใจ แล้วเอาดอกไม้ไปใกล้เธอมากขึ้น “ชอบมั้ยครับ?”
เย้นหว่านพยักหน้าอย่างเงียบๆ รับช่อดอกไม้มา แต่ยังคงจ้องโห้หลีเฉินตาไม่กะพริบ
ดอกไม้นั้นสวยมาก แต่เขาก็ยังสำคัญกว่า
เธอยังคงรู้สึกรู้สึกใจหายอยู่
โห้หลีเฉินถอนหายใจออกมา แล้วยื่นมือไปบีบจมูกสวยๆ ของเธอ ตอนนี้อยู่ในบ้านตระกูลเย้นผมจะไปเป็นอันตรายได้ยังไงล่ะครับ? ทำไมคุณถึงได้คิดมากแบบนี้”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ว่า……
เย้นหว่านกำเสื้อของโห้หลีเฉินไว้แน่น พูดเสียงติดๆ ขัดๆ ว่า
“ตระกูลหยูนั้นจ้องจะเล่นงานคุณตลอด ฉันเป็นห่วงค่ะ”
ถึงจะบอกว่าตระกูลเย้นนั้นปลอดภัยมากพอ ตอนนี้หลบซ่อนได้อย่างมั่นคง แต่ในตอนที่หาโห้หลีเฉินไม่เจอ เธอก็สงสัยอย่างไม่มีเงื่อนไขว่าเป็นตระกูลหยูรึเปล่าที่ส่งคนเข้ามาจับตัวโห้หลีเฉินไป
ในใจของโห้หลีเฉินยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
การจากลาเมื่อครั้งก่อน มันทำให้เย้นหว่านได้รับผลกระทบอย่างหนัก ถ้าตระกูลหยูยังมีตัวตนอยู่แม้แต่วันเดียว เธอก็ไม่มีทางที่จะสบายใจได้อย่างเด็ดขาด
ถึงเย้นหว่านจะดูสงบ แต่ความจริงแล้ว ในใจของเธอก็ยังคงร้าวเป็นทางยาว กังวลว่าจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
และทนรับกับเรื่องที่ไม่คาดคิดนั่นไม่ไหวด้วย
สิ่งที่เขาอยากมอบให้กับเธอ มันไม่ใช่ชีวิตแบบนี้ เห็นที่คงต้องรีบๆ จัดการตระกูลหยูให้เร็วแล้ว
แววตาของโห้หลีเฉินมีประกายแสงวิ่งผ่าน จากนั้น เขาก็ดึงตัวเย้นหว่านเข้ามาในอ้อมกอดอีกนิด แล้วตั้งใจมองเธอด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ
“ที่รัก นี่คุณยังไม่สังเกตเห็นอะไรที่มันสำคัญยิ่งกว่าใช่มั้ย?”
อ้อมกอดของเขาอบอุ่นมาก ทำให้เธอรู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด
สภาพจิตใจของเธอค่อยๆ สงบลง แล้วมองเขาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
ลังเลไปแป๊บหนึ่ง เย้นหว่านก็ได้พูดออกมาว่า “ดอกคาทาวปามันบานไว้กว่าที่ควรจะเป็นใช่มั้ยคะ?”
“ในสายตาของคุณมันมีแค่ดอกคาทาวปาเท่านั้นเหรอครับ?
โห้หลีเฉินเขกหัวเย้นหว่านอย่างไม่พอใจ
เย้นหว่านยิ่งงงเข้าไปใหญ่ แล้วมันยังมีอะไรอีกล่ะ?
“เห็นทีไม่ลงโทษคุณสักหน่อยคงจะไม่ได้แล้ว”
โห้หลีเฉินลดเสียงให้ต่ำลง แล้วอุ้มเย้นหว่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นชูเธอขึ้นไปเหนือไหล่
จู่ๆ ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้น ความรู้สึกที่ไร้แรงโน้มถ่วงทำให้นิ้วเท้าของเย้นหว่านต้องหดเข้ามา เธอกรี๊ดออกมาด้วยความแตกตื่น
“นี่คุณทำอะไรเนี่ย รีบวางฉันลงไปนะ”
แต่โห้หลีเฉินกลับไม่ยอมหยุด แล้วเปลี่ยนมาใช้ท่าอุ้มเจ้าหญิง จากนั้นก็เหวี่ยงเธอขึ้นไป
เย้นหว่านที่ลอยอยู่กลางอากาศตกใจจนหน้าถอดสี ไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่รักๆ ใคร่เขาเล่นกันแบบนี้ด้วย
แต่ว่าความรู้สึกที่ไร้แรงโน้มถ่วงนั้นมันน่ากลัวจริงๆ
ครั้งต่อไปที่ลงไปถึง เธอก็รีบกอดคอของโห้หลีเฉินไว้ทันที แล้วขอร้องไปอย่างรวดเร็วว่า “เลิกโยนได้แล้ว ที่รักฉันผิดไปแล้วค่ะ”
และในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ย้ายมืออีกข้างไปล็อกไว้ที่ท้ายทอยของเย้นหว่าน เปลี่ยนจากการจูบที่เบาบางกลายเป็นการจูบที่ร้อนแรงขึ้นมา
กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาที่จมูก อากาศรอบๆ ตัวก็อบอวลไปด้วยความหวาน
เว่ยชีที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็ต้องหน้าแดงด้วยความอาย แล้วเดินก้มหน้าจากไปด้วยความอายอย่างรู้หน้าที่
เย้นหว่านถูกจูบจนเคลิ้ม สติสตางค์เตลิดเปิดเปิง
เธอที่อยู่ในอ้อมกอดของโห้หลีเฉินหลงทิศจนไม่รู้แล้วว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ร่างกายก็อ่อนปวกเปียกราวกับไอศกรีมที่ละลายไปแล้ว
ความสุขกับความสบายใจก็ได้ถูกเติมเต็มขึ้นมาในใจของเธออีกครั้ง
“แหวะ กลางวันแสกๆ ยังมีอารมณ์มาทำเรื่องที่ชวนคลื่นไส้แบบนี้กันได้นะ? นี่ยังอยากให้คนอื่นเขาชมทิวทัศน์อีกมั้ยเนี่ย”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงที่แสดงความรังเกียจที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
เย้นหว่านที่กำลังดื่มด่ำอยู่ในห้วงแห่งความหวานก็ได้สติกลับมาทันที เธอรีบแยกออกมาด้วยความเขินอาย แล้วหันมองไปทางต้นเสียง
แล้วต้องพบกับป่ายฉีที่ยืนอยู่ตรงทางเดิน พร้อมกับมองมาที่ทั้งสองด้วยสีหน้าที่รังเกียจ
สายตาที่รังเกียจนั่น มันยิ่งไม่มีการเจือปนของการแต่งแต้มใดๆเลยอยู่เลย มันเป็นความรู้สึกที่แสดงออกมาจากใจจริงๆ
ถึงแม้เย้นหว่านจะหน้าแดง แต่กลับรู้สึกว่าไม่ได้คุ้นเคยกับป่ายฉีที่เป็นแบบนี้มานานมากแล้ว
เธอไม่สนใจความอาย แล้วถามไปว่า “การสะกดจิตของคุณเรียบร้อยหมดแล้วเหรอคะ?”
ตอนก่อนหน้านี้ ถึงนิสัยโดยรวมของป่ายฉีจะกลับมาแล้ว แต่สายตาที่มองมาที่เธอนั้น มันก็ยังคงหลงเหลือความรู้สึกกับความไม่พอใจอยู่บ้างพอเห็นเธอกับโห้หลีเฉินกำลังทำตัวรักใคร่กันอยู่ มันก็เกิดความหึงหวงของผู้ชายที่ต่อให้อยากจะปิดบังเท่าไหร่ก็มิอาจปิดบังได้
แต่มาตอนนี้ พอมองไปมันก็ไม่หลงเหลือเลยแม้แต่น้อย
“แต่ร่างกายของน้าเมย์ยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอคะ? ประสบการณ์ที่เธอมีในตอนนี้ มันยังไม่มากพอที่จะจัดการกับการสะกดจิตในขั้นสุดท้ายนี่”
การสะกดจิตในขั้นสุดท้ายนั้นต้องใช้แรงใจอย่างมาก ไม่ใช่สิ่งที่สภาพร่างกายอย่างน้าเมย์ในตอนนี้จะสามารถรับได้ด้วยเหตุนี้การสะกดจิตของป่ายฉีถึงได้ลากยาวจนถึงตอนนี้
ป่ายฉีเอามือกอดอก และยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ
สีหน้าที่แสดงออกมานั้นเรียบง่ายแต่ก็รังเกียจ “กูที่เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ จะไปจมอยู่ในความรู้สึกจอมปลอมไปตลอดได้ยังไงล่ะ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการชอบเธอจนโงหัวไม่ขึ้นเลย เธอบ้าผู้ชายอย่างโห้หลีเฉินอยู่ทุกวัน ฉันก็รู้สึกขายหน้าแทน ถ้ายังออกมาไม่ได้ รสนิยมของฉันคงต้องถูกดึงให้ตกต่ำไปกว่านี้แน่เลย”
เย้นหว่าน “……” ทำไมถึงมาดูถูกกันได้ละเนี่ย
เธอกัดฟันแน่น มันยิ่งทำให้เธอแปลกใจและสงสัยยิ่งกว่าเดิม นี่ป่ายฉีหลุดออกจากมนต์สะกดแล้วจริงๆ แล้วเหรอ
พึ่งพาตัวเขาเอง?
“เดิมทีมนต์สะกดของเขาก็ไม่ได้ร้ายแรงอยู่แล้ว หลังจากที่ได้ระบายอารมณ์ไป ก็ยิ่งสามารถผ่อนคลายลงได้ แล้วน้าเมย์ค่อยแนะนำทางนิดหน่อย เขาจึงสามารถก้าวออกมาด้วยตนเอง”
โห้หลีเฉินค่อยๆ อธิบายให้เย้นหว่านฟัง
และได้เปิดโปงป่ายฉีที่กำลังพูดจาโอ้อวดอยู่ตลอดเวลา
แล้วเย้นหว่านก็เข้าใจทุกอย่างในทันที ที่แท้วันก่อนที่ทะเลาะกับโห้หลีเฉิน ทำให้ความโกรธเคืองในใจได้ระบายออกมา มนต์สะกดก็ได้คลายออกมาตามด้วย
พอได้รับการนำทาง ก็สามารถคลายมันได้อย่างง่ายดาย
ป่ายฉีบดกราม นี่โห้หลีเฉินมันเลือดเย็นขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงต้องเปิดโปงเขาให้ได้!
เขาจ้องเขม็งไปที่โห้หลีเฉิน “ดูท่าระหว่างหารือเรื่องการแพทย์กับการเอาใจเมีย คุณก็เลือกที่จะเอาใจเมียสินะ งั้นผมก็ไม่รบกวนแล้ว เชิญคุณศึกษาไปคนเดียวเลยนะ”
พูดจบ ป่ายฉีก็จะเดินจากไปด้วยความโมโห
เย้นหว่าน “……”
โห้หลีเฉินไม่ได้รีบร้อนอะไร และพูดไปอย่างใจเย็นว่า “ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปหาคุณที่ห้องวิจัยหรอก”
ขาของป่ายฉีชะงักไปทันที