พวกเขาเข้าล้อมเย้นหว่านกับโห้หลีเฉินจากทุกทิศทาง
หัวใจของเย้นหว่านที่ยังไม่สบายใจ ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง
มีคนล้อมจับพวกเขาเยอะขนาดนั้น อย่าว่าแต่เรื่องเอาตัวรอดไปได้เลย แบบนี้พวกเขายิ่งไม่มีเวลาและโอกาสไปตามหาโห้หยูเซิงเลย
อีกอย่างที่นี่ก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขนาดนี้ ถ้าโห้หยูเซิงเห็น เขาจะต้องตกใจ แล้ววิ่งหนีไปไกลกว่าเดิมแน่นอน
เย้นหว่านหวั่นใจเป็นอย่างมาก
“เมื่อตะกี้ผมไปตรวจดูกล้องวงจรปิดมา หยูเซิงกับแรบบิทวิ่งออกจากโรงแรมไปแล้ว เดี๋ยวเราออกไปตามหาลูกๆ ข้างนอก ตอนนี้เราต้องกำจัดคนพวกนี้ก่อน”
โห้หลีเฉินวางแผนอย่างเป็นระเบียบ
เย้นหว่านมองไปรอบๆ ด้าน”แต่พวกเขามีเยอะมาก…”
ถ้าสู้กันขึ้นมาเธอช่วยอะไรโห้หลีเฉินไม่ได้เลย แล้วโห้หลีเฉินยังต้องแบ่งสมาธิมาปกป้องเธอด้วย สุดท้ายถ้าโห้หลีเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บก็คงเหนื่อยจนหมดแรง
นอกจากนี้ ยังเสียเวลาออกตามหาโห้หยูเซิงด้วย
“ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น วิ่งตามผมมาก็พอ”
โห้หลีเฉินดึงเย้นหว่านไว้ข้างหลังเขา ก่อนจะยืนเผชิญหน้ากับกลุ่มชายชุดดำที่โหดร้ายโดยไม่มีท่าทางหวาดกลัว แล้วรีบวิ่งไปที่ประตูทันที
“ขวางพวกเขาไว้!”
ชายชุดดำตะโกนสั่ง แล้วพุ่งตัวเข้าไป
โห้หลีเฉินกลับเหมือนคมมีด พุ่งตัวออกไป ไม่มีใครสามารถขัดขวางเขาได้
ชายชุดดำถูกผลักออกไป จมล้มลงทีละคน
เสียงร้องโอดโอย จนวุ่นวายไปหมด
เย้นหว่านขนลุกซู่ รีบวิ่งตามโห้หลีเฉินไป เธอช่วยอะไรเขาไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่ไม่ให้คนอื่นมีโอกาสจับเธอได้ตอนที่โห้หลีเฉินไม่ทันตั้งตัว
ในที่สุด โห้หลีเฉินก็จูงมือเย้นหว่านไว้ แล้ววิ่งฝ่าออกไปได้
เขาไม่หยุดสักวินาทีเดียว รีบดึงเย้นหว่านวิ่งออกไปทันที
ลมหนาวพัดมากระทบหน้าอย่างแรง
เย้นหว่านมองไปที่กลุ่มคนชุดดำที่กำลังร้องโอดโอยแล้วตะโกนด่าอยู่ข้างหลัง แล้วรีบวิ่งตามโห้หลีเฉินไป
พอเห็นบาดแผลมีดบาดบนร่างร่างกายของโห้หลีเฉิน ในใจรู้สึกเจ็บปวดและตื่นตระหนกมาก
โห้หลีเฉินพาเย้นหว่านวิ่งออกมาไกลในอึดใจเดียว
เขาใช้ประโยชน์จากคืนที่มืดมิด พาเธอเดินไปตามทางและหลบซ่อนตัวอยู่ในตรอกมืด
ด้านนอกยังมีผู้คนวิ่งไปมา มีเสียงรอยเท้าวิ่งตามพวกเขา
เย้นหว่านหอบหายใจอย่างแรง แต่ยังไม่ทันได้หายใจหายคอ เธอก็ดึงโห้หลีเฉินเข้ามาใกล้อย่างเป็นห่วง “คุณเป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บสาหัสไหมคะ”
ขณะที่เธอพูด จมูกและขอบตาของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
ด้วยฝีมือของโห้หลีเฉิน การจะรับมือกับคนชุดดำพวกนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่มีเธออยู่ด้วย หลายครั้งที่เธอบาดเจ็บก็เพื่อปกป้องเธอ
โห้หลีเฉินส่ายหน้า “ไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บเล็กน้อย แผลไม่ได้ลึกอะไร คุณพักก่อน รอหายใจโล่งแล้ว เราจะได้ออกตามหาลูกๆ กัน”
ถึงตอนนี้ ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่พวกโห้หยูเซิงวิ่งหนีออกจากโรงแรมไป
ดึกขนาดนี้ เด็กทั้งสองคนวิ่งออกจากโรงแรมเพียงลำพัง อีกทั้งโห้หยูเซิงยังเป็นโรคปิดกั้นตัวเองที่เกิดอาการตกใจไม่ได้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง
แต่ว่า พวกเย้นหว่านยังถูกตามล่าอยู่ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่สามารถค้นหาอย่างโจ่งแจ้งได้
เย้นหว่านน้ำตาคลอเบ้า อดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้
“มันเป็นความผิดของฉันเอง ที่ดูแลหยูเซิงไม่ดีพอ ปล่อยให้เขาวิ่งออกไปได้ ตอนนั้นฉันควรจะตอบสนองได้เร็วกว่านี้ แล้วคว้าตัวเขาไว้ได้ทัน”
เย้นหว่านร้องไห้ออกมา
มันคือความรู้สึกผิด คือความหวาดกลัว คือความกลัวที่ฝังลึกเข้าไปในกระดูก
ครึ่งชั่วโมง ก็เพียงพอให้เด็กสองคนวิ่งออกไปไกลแล้ว และเพียงพอที่จะเกิดเรื่องที่พวกเขาไม่กล้าคาดคิดได้
เธอหวาดกลัวมาก กลัวว่าเธอจะพลาดช่วงเวลาสำคัญไป กลัวว่าจะไม่ได้เจอพวกลูกๆ อีก
แต่เธอเพิ่งรับแรบบิทกลับมา เธอยังไม่ได้เพลิดเพลินกับความสุขระหว่างแม่กับลูกสาวเลย เธอเพิ่งมีเวลาได้อยู่กับโห้หยูเซิง ได้ทำหน้าที่ของคนเป็นแม่
เธอยังมีสิ่งที่อยากจะให้พวกเขาเยอะมากๆ แต่ว่า กลับมาเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ขึ้นมาซะก่อน
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ไม่มีใครคาดคิดว่าหยูเซิงจะตกใจกลัวแล้ววิ่งหนีไปแบบนี้”
โห้หลีเฉินกอดเย้นหว่านไว้แน่น ฝ่ามือใหญ่ของเขาลูบหลังปลอบใจเธอเบาๆ “เชื่อผมสิ เราจะต้องพาพวกเขากลับมาได้อย่างแน่นอน พวกเขาจะต้องไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวนะ ยังมีผมอยู่ที่นี่ด้วยทั้งคน”
พอได้มาอยู่ในอ้อมกอดของโห้หลีเฉิน อารมณ์ของเย้นหว่านก็ล้นทะลักมากขึ้น จนแทบอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ
แต่เธอก็สะอื้นจนทรมานไปหมด แต่เธอก็ยังทนกลั้นไว้
นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาร้องไห้หรืออ่อนแอได้
เธอเป็นแม่ของพวกเขา
เย้นหว่านสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะลุกขึ้นจากอ้อมกอดของโห้หลีเฉิน แล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่เคร่งเครียด
“รอคนข้างนอกไปกันหมดแล้ว เราออกไปพร้อมกัน แล้วแยกกันตามหาหยูเซิงกับแรบบิท”
โห้หลีเฉินคัดค้านขึ้นมาทันที “ไม่ได้ คุณต้องอยู่กับผมตลอด ข้างนอกอันตรายเกินไป”
ตอนอยู่ที่โรงแรม เขาไม่ได้อยู่กับเธอแค่ครู่เดียว เย้นหว่านก็เกือบจะถูกจับไปแล้ว
เย้นหว่านรับรู้ถึงความกังวลใจของโห้หลีเฉิน แต่เธอต้องทำแบบนี้เท่านั้น
แต่เธอคว้ามือของโห้หลีเฉินมาจับไว้ แล้วพูดด้วยถ้อยคำที่มั่นคง และหนักแน่น
“โห้หลีเฉิน เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เวลาที่เราจะตามหาลูกๆ เจอมีไม่มากแล้ว เราต้องแยกกันตามหาพวกเขา ถึงได้มีโอกาสที่จะตามหาพวกลูกเจอได้มากขึ้น
ฉันไม่ได้ทำตามใจชอบ แต่ต้องทำแบบนี้ คุณต้องเชื่อใจฉัน ฉันทำได้ ครั้งนี้ฉันจะไม่ถูกคนของตระกูลหยูหาเจอแน่นอน ฉันจะตามหาลูกๆ อย่างเงียบๆ ต้อง
พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้า และปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครรู้แน่นอนค่ะ”
โห้หลีเฉินยังคงแน่วแน่ “ผมจะปล่อยให้คุณมีโอกาสเสี่ยงไม่ได้ เย้นหว่าน ตามหาลูกๆ เป็นเรื่องสำคัญ คุณเองก็สำคัญเช่นกัน”
“แต่ฉันเองก็เป็นแม่ของพวกเขา” ท่าทางของเย้นหว่านสั่นเครืออย่างรุนแรง “ฉันเป็นห่วงพวกเขา ห่วงจนแทบจะบ้าแล้ว ฉันจะต้องพยายามสุดกำลัง เพื่อตามหาพวกเขาให้เจอ การแยกกันตามหา เป็นวิธีเดียวที่จะเพิ่มโอกาสการตามหาเจอ ฉันจะไม่มีทางยอมแพ้ และจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
“คุณเชื่อใจฉันนะคะ ฉันเป็นแม่ของพวกเขา ฉันจะต้องการปกป้องพวกเขา และจะไม่กลายเป็นตัวถ่วงเด็ดขาด ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูกๆ ฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต”
“โห้หลีเฉิน คุณรับปากฉันนะ เราแยกกันออกตามหา ได้ไหมคะ ฉันขอร้อง ไม่อย่างนั้นฉันต้องเป็นบ้าแน่ๆ ”
เย้นหว่านมีอารมณ์รุนแรงมาก ตรรกะการพูดของเธอแทบไม่ติดต่อกันเลย
แต่ท่าทางของเธอ กลับเด็ดเดี่ยวมาก
เพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการหาลูกๆ เจอ เธอต้องแยกกันตามหาพวกเขา เธอจะเกลียดตัวเองมากขึ้นถ้าตัวเองกลายเป็นตัวถ่วง
โห้หลีเฉินมองไปที่เย้นหว่าน แววตาของเขาเคร่งขรึม ริมฝีปากบางเม้มแน่น แล้วนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
เขารู้จักนิสัยของเธอดี ทำไมเขาจะมองไม่ออก ว่าตอนนี้เธอใกล้จะใจสลายอยู่แล้ว
คำขอร้องของเธอ มันสามารถเพิ่มโอกาสในการตามหาลูกเจอได้อย่างแน่นอน
โห้หลีเฉินเอื้อมมือไปปาดน้ำตาบนใบหน้าของเย้นหว่านทิ้ง เสียงทุ้มต่ำของเขาฟังไปแล้วอ่อนโยนมาก
“ตกลง ผมเชื่อคุณ พยายามหลบเลี่ยงคนของตระกูลหยู ตามหาหยูเซิงกับแรบบิท แล้วพาพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย”
พอได้รับอนุญาต ดวงตาของเย้นหว่านเป็นประกาย
เหมือนได้รับความช่วยเหลือจนรอดออกไปจากขุมนรก
เธอจับมือของโห้หลีเฉินไว้แน่น แล้วพูดด้วยเสียงสะอื้น “โห้หลีเฉิน ขอบคุณมากนะคะ”