ทั้งสี่คนเข้ามาในห้องด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ภายในห้องธรรมดามาก อยู่ในระดับกลาง ไม่เหมือนห้องพักระดับห้าดาวสุดหรูที่โห้หลีเฉินเคยเข้าพัก
ทันทีที่โห้หลีเฉินเดินเข้ามาในห้อง ฝีเท้าของเขาก็ชะงักไปทันที
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่เรียบง่าย และเล็กแคบแบบนี้
เย้นหว่านมองไปทางเขาด้วยความเป็นห่วง “คุณอยากจะเปลี่ยนเป็นห้องสวีทระดับเจ็ดดาวไหมคะ”
โห้หลีเฉินส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ผมปรับตัวได้”
ห้องสวีทระดับเจ็ดดาวมันสะดุดตาเกินไป ถ้าคนของหยูฉู่สองจะตรวจสอบ ก็คงจะตรวจสอบจากห้องสวีทระดับเจ็ดดาวก่อน
ถ้าพวกเขาต้องการจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข พวกเขาต้องทำตัวให้ธรรมดาที่สุด
เย้นหว่านบีบนวดฝ่ามือของเขาอย่างเป็นห่วง ในหัวใจของเธอรู้สึกร้อนใจมาก เธออยากจะแก้ปัญหาของตระกูลหยูให้เร็วที่สุด
ถ้าครั้งนี้เธอกลับไปได้อย่างปลอดภัย เธอก็จะเข้าร่วมในเรื่องนี้ด้วย และจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่
จะต้องจัดการ ตระกูลหยูให้เร็วที่สุด
เธอไม่อยากใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ให้ครอบครัวและลูกๆ ของเธอต้องลำบากอีก และไม่อยากให้โห้หลีเฉินต้องทนลำบากด้วย
เขาเป็นคนที่หยิ่งทระนง โดดเด่นท่ามกลางผู้คน เขาไม่เคยต้องลดตัวมาทำเรื่องแบบนี้
“ผมเอาของไปเก็บก่อน”
โห้หลีเฉินเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้าออก แล้วยกกระเป๋าเดินทางที่เตรียมไว้ข้างในออกมา แล้วหยิบเสื้อผ้าประจำวันออกมาแขวนทีละชุด
ในนั้นมีทั้งชุดของผู้ชายและชุดของผู้หญิง ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าประจำวันที่คนทั่วไปสวมใส่ แล้วยังมีเสื้อผ้าสำหรับเด็กทั้งสองคนด้วย
เย้นหว่านมองดูการเคลื่อนไหวของโห้หลีเฉิน ก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป ผู้ชายของเธอ เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้วจริงๆ
อีกทั้งขนาดของเสื้อผ้าก็พอดีตัว
แต่ว่า……
เย้นหว่านไม่ทันได้ชื่นชมการกระทำที่น่ามองของโห้หลีเฉินที่กำลังจัดเสื้อผ้า แต่เธอสังเกตเห็นสภาพของห้อง ในห้องมีเพียงห้องนอนเดียว ซึ่งเป็นห้องครอบครัว มีเตียงขนาดใหญ่สองเมตร กับเตียงขนาดเล็กหนึ่งจุดห้าเมตร
นั่นหมายความว่า ตอนกลางคืนพวกเธอทั้งสี่คนจะต้องนอนในห้องเดียวกัน อีกอย่างโห้หยูเซิง ก็จะต้องนอนในห้องเดียวกันกับพวกเธอด้วย
แต่ว่าตั้งแต่ โห้หยูเซิงมีความคิดเป็นของตัวเอง เขาก็ไม่เคยนอนกับคนอื่นอีกเลย
เขาต่อต้าน ขัดขืนทุกการสัมผัส
ไม่มีทางยอมรับได้เลย
เย้นหว่านรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เธอมองไปทางโห้หยูเซิงที่ยืนนิ่งเงียบอยู่คนเดียว แล้วยังกัดเม้มริมฝีปากไปมา ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากพูดยังไง
“มีอะไรหรือเปล่า?”
โห้หลีเฉินวางเสื้อผ้าในมือลง แล้วเดินไปหยุดตรงหน้าเย้นหว่าน
เย้นหว่านลังเลใจเล็กน้อย เธอบอกเรื่องที่เธอกังวลใจให้โห้หลีเฉินฟัง “คืนนี้จะทำยังไงดีคะ ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย หยูเซิงต้องไม่นอนหลับแน่ๆ อีกทั้งยังต้องหวาดกลัวตลอดทั้งคืนอีกด้วย”
ส่วนใหญ่โห้หยูเซิงจะนิ่งเงียบตลอดเวลา เหมือนหุ่นไม้ที่ปิดกั้นตัวเองอยู่ในโลกของตัวเอง แต่ถ้าถูกคนกระตุ้นอารมณ์ เขาจะโกรธจนสูญเสียการควบคุม และควบคุมอารมณ์ไม่ได้ จนทำร้ายคนอื่น แล้วยังทำร้ายตัวเขาด้วย
ดังนั้นตลอดช่วงที่ผ่านมา ทุกคนจึงยอมตามใจเขาให้มากที่สุด ไม่กล้ากระตุ้นอารมณ์ของเขา
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน กลับอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พวกเธอต้องซ่อนตัว จึงไม่สามารถให้โห้หยูเซิงที่อายุแค่หนึ่งขวบครึ่งเปิดห้องพักนอนคนเดียวได้ ไม่อย่างนั้นพฤติกรรมที่แปลกผิดปกติเช่นนี้จะดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที
อีกทั้ง ถ้าทั้งครอบครัวจะไม่นอนทั้งคืน แล้วถูกพบเข้า พวกเขาก็จะให้ความสนใจ
“ไม่ต้องเป็นห่วง”
โห้หลีเฉินยกแขนโอบไหล่ของเย้นหว่านแล้วกดนวดเบาๆ “ตอนกลางคืนเขาต้องการนอนคนเดียว กลัวที่จะอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับคนอื่น ขอแค่ทำเต็นท์เล็กให้เขาที่เตียงเล็ก เขาก็นอนได้แล้ว”
“เต็นท์เล็กเหรอคะ?”
เย้นหว่านมองไปที่โห้หลีเฉินด้วยสีหน้าประหลาดใจ เธอคิดไม่ถึงเลย ว่าจะยังทำอย่างนี้ได้ ช่างเป็นความคิดที่น่าทึ่งมาก
นี่มันโกหกเด็กอายุสามขวบชัดๆ ไม่ใช่สิ ต้องเป็นโกหกเด็กที่อายุไม่ถึงสองขวบต่างหาก
แต่ทำแบบนี้ จะได้จริงๆ เหรอ? นอกจากนี้……
“หรือว่าคุณจะเตรียมเต็นท์ไว้ด้วยคะ”
โห้หลีเฉินเลิกคิ้วแล้วยกยิ้มบาง ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบกล่องอีกหนึ่งกล่องออกมา ข้างในคือเต็นท์ที่ถูกพับไว้
เย้นหว่านนับถือเขาจริงๆ “คุณโห้ จากนี้ไปฉันต้องเปลี่ยนชื่อเรียกคุณแล้วค่ะ เรียกคุณว่าคุณโดราเอมอนดีไหมคะ”
โห้หลีเฉินมองไปทางเย้นหว่านด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณเรียกผมว่าสามีก็ได้”
เย้นหว่าน “…”
เขาเอื้อมมือออกไปหยิบเต็นท์แล้วช่วยกางเต๊นท์ที่เตียงให้โห้หยูเซิงเงียบๆ
ถึงแม้จะแต่งงานมา ‘หลายปี’ แล้ว แต่น้อยครั้งที่เธอจะเรียกโห้หลีเฉินว่าสามี ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่เขาเรียกเธอภรรยาก็คลุมเครือมาก เขาเรียกเธอว่าความรักที่คลุมเครือมาก และแม้แต่คำสองคำสำหรับสามีของเธอก็เปลี่ยนไป .
แม้แต่คำว่าสามีก็ฟังดูแปลกไปด้วย
ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยเรียกเขาว่าสามีเลย แค่อ้าปากก็รู้สึกเขินแล้ว
โห้หลีเฉินยืนมองไปแผ่นหลังของเย้นหว่านที่ปูเตียงอย่างจริงจัง มุมปากของเขายกขึ้นสูง ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ภรรยาของเขา ยังไงก็ขี้อายเกินไป
หลังจากหยอกล้อกันจบ โห้หลีเฉินกับเย้นหว่านก็ช่วยกัน ไม่นานก็จัดการเก็บห้องจนเสร็จ
กระเป๋ากับเสื้อผ้าทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยชุดทั่วไป แม้แต่ของใช้ในชีวิตประจำวัน ในขณะเดียวกัน ยังมีเครื่องมือในการปลอมตัว ให้พวกเย้นหว่านปลอมตัวด้วย
แต่ว่า โห้หยูเซิงไม่ยอมให้ใครแตะต้องเขาเลย
แต่เขาไม่เคยออกมาข้างนอก นอกจากผู้ชายที่ถูกจัดการไปแล้วกับครอบครัวของเขา ไม่มีใครในตระกูลหยูเคยเห็นโห้หยูเซิงมาก่อน ถึงแม้จะเคยเห็น แต่คงจำเขาไม่ได้
ดังนั้น สุดท้ายเธอก็ไม่ได้บังคับให้โห้หยูเซิงปลอมตัว
โห้หยูเซิงไม่ชอบเข้าใกล้ผู้คนมากที่สุด วันนี้เขากลับยอมทนให้เย้นหว่านอุ้ม อารมณ์ของเขาใกล้จะพังทลายลงแล้ว หลังจากกางเต็นท์เสร็จ เขาก็มุดเข้าไปข้างใน แล้วรูดซิปขึ้นขังตัวเองไว้ข้างในคนเดียว
ถึงแม้เย้นหว่านจะคุ้นชินกับนิสัยของโห้หยูเซิงมานานแล้ว แต่พอมายืนอยู่ตรงหน้าเต็นท์ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
โห้หลีเฉินจับไหล่ของเธอแล้วพูดปลอบ “โรคปิดกั้นตัวเองของเขาจะหายดีขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นาน เขาก็จะกลับมาเป็นเด็กปกติได้”
เย้นหว่านหวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วๆ
เธอพูดอย่างรู้สึกผิด “เราเป็นหนี้เขามากเหลือเกิน จากนี้ไปเราจะต้องชดเชยทุกอย่างให้เขา มอบชีวิตในวัยเด็กที่มีความสุขให้เขา และให้อนาคตที่สดใสกับเขา”
ความคิดที่อยากจะจัดการตระกูลหยูของเย้นหว่าน ยิ่งแน่วแน่มากขึ้น
เพื่อโห้หยูเซิง เธอจะต้องปูเส้นทางเดินในอนาคตที่กว้างใหญ่ให้กับเขา
“คุณแม่คะ ทำไมพี่ชายต้องอยู่ในเต็นท์ด้วยคะ หนูอยากจะนอนกับพี่ชาย”
แรบบิทดึงขาของเย้นหว่าน แล้วมองเธอตากะพริบ บนใบหน้าและดวงตาของเธอเขียนไว้ว่าอยากจะนอนกับพี่ชายของเธอ
เย้นหว่านมองดูแรบบิทที่ทำท่าทางน่ารัก ในใจก็รู้สึกอ่อนโยน
เธออุ้มแรบบิทขึ้นมา แล้วอธิบายอย่างอ่อนโยนและอดทน
“ตอนนี้พี่ชายของลูกยังไม่คุ้นชินที่จะอยู่กับพวกเราจ้ะ เราต้องให้เวลาเขา ให้เขาคุ้นชินกับพวกเราช้าๆ ให้เขายอมเข้าใกล้เรา แล้วพี่เขาก็จะนอนกับลูกได้ ตกลงไหมจ๊ะ คืนนี้ลูกนอนข้างพ่อแม่ไปก่อน ดีไหมจ๊ะ ”
แรบบิทมองไปที่เย้นหว่านด้วยดวงตากลมโต จากนั้นมองไปที่โห้หยูเซิง สุดท้ายก็ยอมตกลงอย่างไม่เต็มใจ
แต่ดวงตาของเธอ ยังคงจ้องไปที่เต็นท์ แทบอยากจะเข้าไปนอนเคียงข้างพี่ชายของเธอซะตอนนี้เลย
เย้นหว่านทั้งรู้สึกจนใจและรู้สึกตลกไปด้วย