แกร๊กแกร๊ก เสียงปิดประตูดังขึ้นมา เย้นหว่านที่ซ่อนอยู่ในกล่องก็ออกมาจากกล่อง เธอรู้สึกว่ารถกำลังเคลื่อนตัวออกไป และโยกไปทางด้านหน้า
หลังจากผ่านไปสักพัก หลังจากมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว เย้นหว่านก็ฉีกกล่องเป็นช่องเล็กๆ แล้วพูดออกมาจากในกล่อง
เธอมองออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง
ข้างในรถมีแค่แสงสลัว แค่มองเห็นสภาพแวดล้อมภายในรางๆ แต่ก็ไม่ได้สว่างจนเกินไป
แสงสลัวนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่และอึดอัด
เย้นหว่านรู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก
เธอมองดูข้างนอกผ่านช่องว่างอีกครั้ง เธอเห็นกรงเจ็ดถึงแปดทับซ้อนกัน และข้างในมีเด็กที่มีบาดแผลอยู่ในนั้น
เธอสูดหายใจเข้าลึก แล้วมองไปที่กรงเหล็กที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด
ในกรงเหล็กนั้นคือลูกชายของเธอ โห้หยูเซิงนั่งกอดเข่าหดตัวกลม มีบาดแผลที่เปื้อนเลือดตามร่างเล็กของเขา เลือดติดเสื้อผ้าของเขา และกำลังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
คางของเขาเกยอยู่บนเข่า แววตาว่างเปล่าไม่มีสติ
“ฮึก!”
เย้นหว่านรีบปิดปากของเธอ เธอเกือบจะร้องไห้ออกเสียงแล้ว
ภาพตรงหน้าเบลอเพราะน้ำตาของเธอ ทำให้การมองเห็นของเธอไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ดวงตาของเธอ
ทนดูต่อไปไม่ได้
แต่ก็อดที่จะเช็ดน้ำตาออกไป แล้วมองไปที่โห้หยูเซิง ผ่านช่องว่างไม่ได้
แม้แต่พริบตาเดียวก็ไม่อยากละสายตาออกจากเขา
เขายังเด็กมากขนาดนี้ แต่กลับต้องมาลำบากขนาดนี้ หัวใจของคนที่เป็นแม่เหมือนถูกควักออกมาจากอก
เย้นหว่านพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างหนัก แล้วฉีกรูเล็กๆ ด้านข้างกรงเหล็กของโห้หยูเซิงเธอพูดกับโห้หยูเซิงผ่านรูเล็กๆ
“หยูเซิงลูกแม่ หยูเซิง เนี่ยนเนี่ยน”
เธอเรียกชื่อเขา
เธอเรียกเสียงเบามาก แต่ระยะใกล้แบบนี้ก็เพียงพอที่ โห้หยูเซิงจะได้ยิน
แต่โห้หยูเซิงไม่มีอาการตอบสนองเลย เขายังคงนั่งกอดเข่าอยู่อย่างนั้น ดวงตาของเขาว่างเปล่า
เหมือนที่เหลืออยู่ในตอนนี้ มีเพียงร่างกายของเขาเท่านั้น
เย้นหว่านรู้สึกเป็นห่วงอย่างยิ่ง แต่ก็ยังพยายามเรียกชื่อเขาต่อไป
“หยูเซิง นี่แม่เองนะลูก แม่ขอโทษ แม่มาสายไป ทำให้ลูกต้องมาถูกทำร้ายแบบนี้”
ถึงแม้จะควบคุมอารมณ์ไว้แล้ว แต่เสียงของเย้นหว่านก็ยังมีเสียงสะอื้นเล็กน้อย
เธอแทบอยากจะพุ่งออกไปแล้วดึงโห้หยูเซิงมากอดไว้แน่น อยากจะช่วยเขาหยุดเลือด ช่วยเขารักษาบาดแผลให้เขาไม่รู้สึกเจ็บ แล้วหายเป็นปกติ
แต่ในตอนนี้ เธอทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในกล่อง แล้วพูดอย่างเสียงเบา
“หยูเซิงไม่ต้องกลัวนะลูก แม่อยู่ตรงนี้แล้ว แม่จะปกป้องลูกเอง”
ปกป้องเหรอ?
ดวงตาของโห้หยูเซิงกะพริบเล็กน้อย แต่มันก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง
เขายังคงอยู่ในท่าทางนั้น ไม่ขยับตัว
เย้นหว่านรู้สึกปวดใจมาก
เดิมทีเขาก็เป็นโรคปิดกั้นตัวเองอยู่แล้ว พอต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ทำให้เขาอาการของเขาได้รับผลกระทบมากขึ้น และคงยากสำหรับเขาที่จะยอมรับคนอื่นเข้าไปในโลกของเขา
รวมทั้งเธอด้วย
เย้นหว่านยังคงพูดกับโห้หยูเซิงด้วยเสียงที่เบามาก แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเช่นเดิม ตอนที่เธอพูด เธอก็มองไปทางเด็กคนอื่นๆ ในกรงข้างๆ เธอ
มีทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงซึ่งทั้งหมดมีอายุประมาณสองหรือสามขวบเท่านั้น
ดูน่าสงสารมาก
แล้วแรบบิทล่ะ?
เด็กเหล่านี้ถูกแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มที่ไม่เชื่อฟัง พวกที่ถูกทำร้ายจะถูกขังอยู่ในกรง ส่วนพวกที่ขี้ขลาดและเชื่อฟังจะถูกพาไปที่รถอีกคัน
แรบบิทอาจจะอยู่ในรถคันอื่นก็ได้
แต่ว่าตั้งแต่อยู่ในบ้านร้างมาจนถึงตอนนี้ เธอยังไม่เห็นแรบบิทเลย ทำให้อดที่จะเป็นห่วงมากไม่ได้
เธอกระซิบถามโห้หยูเซิง “หยูเซิง ลูกเห็นน้องสาวของลูกบ้างไหม แรบบิทถูกจับมาพร้อมกับลูก ลูกเห็นว่าเธอถูกพาตัวไปที่ไหนไหม”
พอพูดถึงแรบบิท โห้หยูเซิงก็มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ชัดเจนขึ้นมา
แต่หลังจากที่ดวงตาของเขาจะเป็นประกาย เขาก็กอดตัวเองแน่นขึ้น ใบหน้าเล็กๆ ของเขาเต็มไปด้วยอาการต่อต้าน
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น แต่ก็ไม่มีท่าทางว่าจะเอ่ยปากพูด
เย้นหว่านเข้าใจดี ดังนั้นเธอจึงไม่เคยเร่งเร้าให้เขาพูด
แต่ปฏิกิริยาของเขาในตอนนี้ ทำให้เย้นหว่านยิ่งกังวลใจมากขึ้น เธอรู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ
เธอถามอย่างร้อนใจ “หยูเซิง ลูกบอกแม่หน่อยได้ไหม ว่าแรบบิทอยู่ที่ไหน อยู่ในรถอีกคันหรือเปล่า”
ดวงตาของโห้หยูเซิงสั่นไหว มือเล็กของเขากอดเข่าแน่นขึ้น เหมือนกำลังคิดถึงบางสิ่งที่น่ากลัวอยู่
เย้นหว่านยิ่งรู้สึกหวั่นใจมากขึ้น
ในขณะที่กำลังจะถามอีกครั้ง ก็มีเสียงเด็กคนหนึ่งดังขึ้นมา
“ใครกำลังพูดอยู่?”
เย้นหว่านตกใจจนรีบปิดปากทันที
หลังจากนั้น เด็กคนนั้นก็มองตรงไปที่กล่อง แล้วมองซ้ายมองขวา “ดูเหมือนจะได้ยินเสียงจากในกล่องนี้”
เธอกลั้นเสียงไว้ เธอไม่คิดว่าหูของเด็กจะอ่อนไหวมากขนาดนี้
หัวใจของเย้นหว่านเต้นแรง เหมือนจะกระเด็นออกมาได้
เธอจะถูกจับได้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้น จะยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
“มีคนพูดจริงเหรอ”
เด็กอีกคนตอบกลับ ทำให้ดึงดูดความสนใจของเด็กคนอื่นๆ ด้วย
“ใช่ เราได้ยิน เหมือนจะดังมาจากในกล่องนั้น”
“มีใครอยู่ข้างในไหม”
“ฮือฮือฮือ ฉันกลัว…”
เสียงของเด็กๆ ดังขึ้นทีละคน
เสียงการสนทนา และเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิง ทำให้ในรถที่เคยเงียบส่งเสียงดังขึ้นมาทันที
ไม่นาน ก็มีเสียงตะโกนด่าดังมาจากที่นั่งคนขับ
“เสียงดังอะไรกัน หุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย”
เด็กๆ พากันนิ่งเงียบไปสักพัก แต่วินาทีต่อมา เด็กผู้ชายคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา
“พวกเราได้ยินเสียงคนพูดจากในกล่อง…”
เย้นหว่านรู้สึกหวาดหวั่นและเหงื่อออกเต็มตัว แทบอยากจะรีบออกไปปิดปากของเด็กคนนั้นไว้
ถ้าหากคนขับได้ยินคำพูดนี้ แล้วลงมาตรวจสอบ เธอต้องไม่รอดแน่ๆ
แต่ใครจะคิด ว่าเด็กเหล่านี้จะไม่เข้าใจอะไรเลย พอมีคนพูดว่าได้ยินเสียง อีกคนก็เออออห่อหมกตามไปด้วย
เด็กอีกคนรีบพูดต่อ “ใช่ ฉันได้ยินเสียงมาจากในกล่องนี้…”
ในขณะที่พวกเขากำลังตะโกนเสียงดัง พวกเขากำลังจะอาละวาดขึ้นมาอีกครั้ง
เย้นหว่านชาไปทั้งตัว
ในขณะนี้เอง โห้หยูเซิงที่นิ่งเงียบก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วตะโกนใส่เด็กที่กำลังพูดอยู่ “หุบปาก”
เสียงของเขาแหบห้าว แต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจน่าเกรงขาม เด็กๆ ตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
ถึงแม้จะเป็นเด็กเหมือนกัน แต่โห้หยูเซิงกลับมีอำนาจมากกว่า ซึ่งมันน่ากลัวมาก
บรรยากาศในรถเงียบไปทันที
โห้หยูเซิงก้มหน้าลงอีกครั้ง เขาเกยคางลงบนเข่า ดวงตาของเขาว่างเปล่าไปอีกครั้ง
ราวกับว่าคนที่ตะโกนสั่งเมื่อตะกี้ไม่ใช่เขา
เย้นหว่านนิ่งชะงัก
เธอมองไปที่โห้หยูเซิงด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าโห้หยูเซิงจะยอมเอ่ยปากพูดออกมา
เขาสั่งให้เด็กคนนั้นหุบปาก เขาปกป้องเธอไว้
แม้ว่าเขาจะเป็นโรคปิดกั้นตัวเอง เฉยเมย ไม่สนใจใคร แต่หัวใจของเขายังไม่ปิดสนิท เขาจะต้องปกป้องเธอ ปกป้องแม่ของเขา
หัวใจของเย้นหว่านรู้สึกอบอุ่นราวกับโดนราดด้วยน้ำอุ่น เหมือนพื้นที่แห้งเหือด กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
เธอซาบซึ้งใจจนทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไปด้วย
ลูกชายของเธอเพิ่งจะปกป้องเธอไว้