หญิงสาวโกรธจนเส้นเลือดปูดโปน ถ้าหากสามารถฆ่าได้ เธอจะไม่ลังเลแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน
ป่ายฉีก็ปากดีไปอย่างนั้น ทำให้หญิงสาวที่เกือบโกรธแทบตายต้องผิดหวังในที่สุด
ที่กลับมาช่วยเธอก็ไม่ใช่เพราะเขาใจดีอะไร แต่เพราะก่อนหน้านี้ได้สัญญากับเจ้าเด็กหมายเลข73นั่นไว้ หากเป็นไปได้ก็จะให้ทางรอดกับมนุษย์พันธุ์แกร่งพวกนี้
ความจริงแล้วพวกเขานั้นน่าเวทนาที่สุด ถูกเลือกมาเข้าร่วมการทดลองยามนุษย์พันธุ์แกร่งตั้งแต่เด็ก ในหลายร้อยเกือบพันคนนั้น ที่เหลือรอดมาได้ก็มีเพียงไม่กี่คน
และต่อให้รอดมาได้ ก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากฤทธิ์ของยาเสริมแกร่งโดยตลอด เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ถูกบังคับให้ทำภารกิจ สังหารคน จนกลายเป็นเครื่องจักรไร้ความรู้สึก
พวกเขาไม่เพียงแค่ไม่มีชีวิตของเป็นตัวเอง แม้แต่ความคิดอ่านก็ยังถูกช่วงชิงไปด้วย
ป่ายฉีก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเมื่อช่วยผู้หญิงคนนี้แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงเธอได้ไหม หากเปลี่ยนไม่ได้ก็มีแต่ต้องฆ่าเธอ แต่ถ้ามันมีโอกาสเพียงน้อยนิดนั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เขาก็รับปากว่าจะช่วยเธอ
นอกจากนี้ กับยัยคิงคองนี่ เขาก็อยากจะลองทำให้เชื่องดูจริง ๆ
ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้ที่เกือบจะทารุณเขาจนตาย องอาจเสียจริง ห้าวหาญจนทำให้เขาเกิดอยากท้าทาย อยากจะทำให้เธอเชื่องขึ้นมา
ยังคงมัดหญิงสาวไว้แน่น แล้วโยนเธอขึ้นพาดบนหลังเหมือนกับกระสอบอย่างนั้น
หญิงสาวที่ถูกบังคับให้ติดอยู่กับเขาขมวดคิ้วแน่น รู้สึกเพียงทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยความต่อต้านและรังเกียจ
“นายฆ่าฉันซะจะดีกว่า ถ้านายพาฉันออกไป ขอแค่มีลมหายใจฉันก็จะหาโอกาสสังหารนายได้ทุกที่ทุกเวลา! ราชสีห์ยังมีเวลาที่งีบหลับนับประสาอะไรกับนาย นายช่วยฉันก็เหมือนกับฆ่าตัวตายนั่นแหละ”
หญิงสาวค่อย ๆ พูดลอดไรฟันอย่างชัดเจนและเย็นชา
ป่ายฉีเลิกคิ้ว แล้วหัวเราะพลางพูดอย่างหยอกล้อ “อยู่ด้วยกันมาไม่กี่วันเธอก็เป็นห่วงฉันขนาดนี้แล้วเหรอ? ยอมให้ตัวเองตาย แล้วยังโน้มน้าวให้ฉันมีชีวิตอยู่อีก ยัยคิงคอง เธอชอบฉันเข้าแล้วใช่ไหมล่ะ?
หญิงสาว “…..!”
ขนาดนี้แล้วยังโยงเข้าด้วยกันได้อีก เขาเป็นโรคประสาทหลอนหรือไง!
หญิงสาวโกรธจนอ้าปากค้าง เธอเบนหน้าออกด้วยความโมโห ไม่จะเสวนากับคนบ้าอีกต่อไปแม้แต่คำเดียว
ป่ายฉีแบกหญิงสาวแล้วค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนหน้าผาทีละน้อย
แม้ว่าอาการของเขาจะดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว แต่ยังไงเขาก็ยังอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสและยังไม่ได้กินอะไรอยู่ดี ครั้งนี้ การปีนหน้าผาโดยแบกผู้หญิงอยู่บนหลังถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งและเหนื่อยสุด ๆ
ปกติแล้วเขาสามารถใช้วิชาตัวเบาเดินเหินขึ้นไปบนหน้าผาได้ในไม่กี่นาที ที่เขาตะลึงก็คือเขาต้องพักอยู่หลายครั้งถึงจะเค้นพลังปีนขึ้นไปได้อีกครั้ง
หญิงสาวที่ถูกเขาบังคับมาแบกไว้มองป่ายฉีอย่างเย็นชา ยังไม่วายจะเอ่ยถากถาง
“ถ้าไม่ไหวก็อย่าดันทุรังเลยน่า เดี๋ยวได้ตกลงไปตายร่างแหลกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยกันพอดี”
น้ำเสียงนั้น ฟังดูแล้วเหมือนเธอจะมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ช่างเป็นผู้หญิงที่อยากจะตายไปพร้อมกับเขาตลอดเวลาเสียจริง ๆ
ป่ายฉีใช้แขนเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่องที่หน้าผาก สีหน้าซีดขาวจนไร้สีเลือดกลับยังคงมีท่าทีหยอกล้อ
“วางใจเถอะ มีฉันอยู่เธอไม่ตายหรอก ฉันยังต้องพาเธอกลับไป พาเธอไปผ่าตัดกายวิภาคเพื่อศึกษาภายในของเธออย่างเต็มที่เลย”
กายวิภาค?
ศึกษาภายใน?
สมองของหญิงสาวมีภาพเลือดสาดอะไรพวกนั้นปรากฏขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ทำให้เธอตัวสั่นโดยไม่ตั้งใจ
ยิ่งรอคอยให้ป่ายฉีตกลงไปอย่างเร่าร้อน
ดังนั้นเธอจึงออกแรงบิดตัวอย่างแรง ทำให้ป่ายฉีที่ปีนอย่างยากลำบากอยู่แล้วเกือบจะจับไม่อยู่แล้วตกลงมา
ป่ายฉีโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ลมหายใจติดขัด
มีความรู้สึกอยากจะโยนผู้หญิงคนนี้ลงไปทั้งอย่างนี้เลย
เขากัดฟัน “ถึงเธอจะขยับ พยายามถูไถกับร่างกายฉัน ฉันก็จะขึ้นไปจัดการเธออยู่แล้วล่ะน่า!”
การต่อสู้ดิ้นรนของหญิงสาวหยุดชะงักในทันที ใบหน้าทั้งขาวทั้งแดง
ต่อให้เธอจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็สู้ความไร้ยางอายของผู้ชายคนนี้ไม่ได้!
แม้จะไม่เต็มใจ แต่ทั้งสองคนก็กระทบกระแทกกัน ก่อนที่ป่ายฉีจะเหนื่อยจนกระอักเลือด ในที่สุดก็ปีนขึ้นมาได้
เมื่อพลิกตัวขึ้นมาถึงปากถ้ำ ป่ายฉีก็มือไม้อ่อนแรงทรุดลงกับพื้น ร่างกายผูกติดกับหญิงสาวกลิ้งไปตามทางลาดของพื้นทรายไปด้วยกันหลายรอบอย่างควบคุมไม่ได้
หญิงสาวกลิ้งตีลังกาจนหัวหมุนตาลาย กระดูกแทบจะแตกร้าวไปหมด
นั่นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นคือตอนที่กลิ้งไป เธอก็แทบจะแนบเข้าไปในเนื้อของป่ายฉีทั้งตัว โอบกอดกันแนบแน่น
สัมผัสแบบนี้ทำให้เธอแทบคลั่งด้วยความรังเกียจจนอยากจะลอกผิวหนังของตัวเองออกทั้งตัว
น่าขยะแขยงเกินไปแล้ว
ในที่สุดก็กลิ้งมาจนถึงสุดเนิน ร่างกายของพวกเขาจึงหยุดลงได้
ป่ายฉีก้มหน้านอนราบลงกับพื้นทราย กินทรายไปเต็มหน้าแล้ว บนหลังยังมีคนทับอยู่อีกคนหนึ่ง
เขาหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าที่ฝังอยู่ในทรายคิดอยากจะคับแค้นตัวเองไปแบบนั้น
นี่มันบาปกรรมอะไรกันเนี่ย มันไม่ใช่แบบที่คนจะมีชีวิตอยู่ได้เลยจริง ๆ
เฮ้อ
เขาถอนหายใจ ป่ายฉีฝืนลุกขึ้นมาแล้วแก้มัดหญิงสาวออกมาไว้ข้าง ๆ
หญิงสาวใช้โอกาสนี้กลิ้งตัวไปหลายครั้ง พยายามจะอยู่ห่างจากป่ายฉีให้มากเท่าที่จะทำได้
ป่ายฉีหัวเราะเยาะ “เธอกลิ้งไปไกลขนาดนั้นแล้วจะได้อะไร? ก็ไม่พ้นฉันเดินไปสองสามก้าวเองนี่”
พูดดังนั้น เขาก็สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้หญิงสาว
หญิงสาว “……” เธอไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว
ป่ายฉีสงบใจลง เดินไปที่ข้างตัวหญิงสาวและนั่งยอง ๆ สายตากวาดมองทั่วร่างของเธอตั้งแต่หัวจรดหัว
หญิงสาวถูกมองจนขนลุก “นาย นายอยากจะพูดอะไร?”
เธอถดตัวหนี ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาและหวาดระแวง
ยังมีความกังวลที่ขนพองสยองเกล้าอยู่อีก เธอกังวลว่าคำพูดงี่เง่าของป่ายฉีที่พูดในถ้ำจะถูกนำมาใช้จริงในตอนนี้
ป่ายฉีจ้องหญิงสาวด้วยแววตาที่ลึกลับและนิ่งขรึม น้ำเสียงแหบแห้งอย่างมาก
“ที่นี่คือทะเลทรายสุดลูกหูลูกหา ไม่มีใครเห็นหรอก”
หญิงสาวเย็นเฉียบไปทั่วร่าง เธอค่อย ๆ เปล่งเสียงลอดไรฟันออก “นาย! กล้าดียังไง!”
“เฮอะ ฉันมีอะไรที่ไม่กล้าด้วยเหรอ? ตอนนี้ชีวิตน้อย ๆ ของเธออยู่ในมือของฉันแล้ว ฉันจะทำยังไงก็ได้”
ป่ายฉีลำพองตัวสุด ๆ แล้วเอื้อมมือไปฉีกชุดรัดรูปด้านนอกของหญิงสาวออก
หญิงสาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว ใบหน้าซีดเผือดและสิ้นหวัง “ป่ายฉี ฉันจะต้องฆ่านายให้ได้!”
ความอัปยศใหญ่หลวง ไม่ฆ่าเขาก็ไม่ขอเป็นคน
ป่ายฉีเลิกคิ้ว แล้วเปล่งเสียง “อ่าฮะ” ออกมาเรียบ ๆ แล้วลงมือต่อ
หญิงสาวหลับตาแน่นด้วยความสิ้นหวัง
จากนั้นรู้สึกได้ถึง….ความเจ็บแสบจาง ๆ ที่แล่นขึ้นมาจากบาดแผล นั่นคือความรู้สึกทุกครั้งตอนทายาลงบนแผลที่เธอคุ้นเคยที่สุด
เธอเบิกตาขึ้นอย่างตกตะลึง มองอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่นึกว่าป่ายฉีจะกำลังทายาที่แผลให้เธออยู่
เขา เขาไม่ได้จะทำเรื่องอย่างนั้นกับเธอหรอกเหรอ……
หญิงสาวนิ่งงันด้วยความตกตะลึง หัวใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าเพราะรอดพ้นจากภัยพิบัติมาได้หรือเพราะความรู้สึกที่สลับซับซ้อน
บนตัวของป่ายฉีพกแค่ยาธรรมดาเท่านั้น เขาทำแผลภายนอกให้กับหญิงสาวอย่างง่าย ๆ เพื่อไม่ให้บาดแผลอักเสบเน่าเปื่อยไปมากกว่านี้
เขาทำเรื่องพวกนี้อย่างเป็นระบบระเบียบ แต่ปากก็ยังพูดกระแนะกระแหน
“ไม่ต้องตื่นเต้นเกินไปหรอก ฉันแค่ไม่อยากให้เธอติดเชื้อตายระหว่างทาง ฉันยังต้องพาเธอกลับไป การผ่าขณะยังมีชีวิตอยู่ค่อนข้างน่าสนใจกว่า”
ความหวั่นไหวเล็กน้อยในหัวใจของหญิงสาวหายไปในทันที แทบอยากจะฉีกป่ายฉีเป็นชิ้น ๆ อีกครั้ง
ป่ายฉีทำแผลไปพลางเอ่ย “จิ๊ ๆ ทำไมในเลือดของเธอถึงปนสีเขียวด้วยล่ะ? มันขัดกับสามัญสำนึกทางวิทยาศาสตร์นะ เธอยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่าเนี่ย?”