ท่านอาวุโสแปดมองดูเย้นหว่าน ดวงตาประกายแวววาว
เขาเม้มปากที่มีคราบเลือดติดอยู่ เขาพยายามขยับช้าๆเพื่อลุกขึ้น
“ฉันพยุงคุณเองค่ะ”
เย้นหว่านยื่นมือออกไปพยุงเขา แต่ถูกเขาผลักออกอย่างเยือกเย็น
เขามองเธออย่างเฉยเมย และห่างเหิน ตัวเองก็ค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก
เย้นหว่านยืนแข็งทื่ออยู่ข้างๆ ไม่ค่อยชินกับการกระทำของอาวุโสที่แปด
เมื่อก่อน ตอนที่เขาอยู่ข้างๆเธอ ก็มักจะยิ้ม เป็นชายชราที่เป็นมิตรและสุภาพบุรุษมาก
แต่ว่าตอนนี้……..
“ท่านอาวุโสแปด ฉันคือเย้นหว่าน ฉันมาช่วยคุณออกไปค่ะ”
ท่านอาวุโสแปดค่อยๆเช็ดเลือดมุมปากอย่างช้าๆ จากนั้น ก็จ้องมองไปยังเย้นหว่านด้วยสายตาที่เยือกเย็น
“ผมไม่ต้องการ”
พูดจบ เขาก็พยายามเดินอย่างยากลำบาก เตรียมออกไปจากที่นี่
การกระทำแบบนี้หมายความว่า เขาไม่คิดที่จะพูดคุยกับเย้นหว่าน
เย้นหว่านไม่เคยคิดว่าท่านอาวุโสแปดจะมีท่าทางแบบนี้ เธอจึงมีความกังวลขึ้นมา แล้วรั้งเขาไว้
“ท่านอาวุโสแปดคะ คุณโกรธพวกเราเหรอคะ? สองปีก่อนโห้หลีเฉินเกิดเรื่อง คุณก็ได้รับผลกระทบ ถูกส่งมาลำบากในที่แห่งนี้ พวกเราทำร้ายคุณจริงๆ ถ้าตอนนั้นคุณไม่สนับสนุนโห้หลีเฉิน คุณก็คงยังเป็นท่านอาวุโสแปดของตระกูลหยู ตำแหน่งสูงส่ง และมีความรุ่งโรจน์”
“พวกเราทำให้คุณเป็นแบบนี้ ขอโทษจริงๆค่ะ”
เย้นหว่านกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจ เรื่องนี้ เป็นรอยแผลที่อยู่ในใจของเธอมาโดยตลอด
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขา ก็คงไม่เป็นแบบนี้
ท่านอาวุโสแปดปากและหน้าสั่นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ความเย็นชานั้น เป็นความเย็นชาที่ห่างเหินผู้คนออกไปหลายพันไมล์
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก พูดเตือนเสียงเบา “เย้นหว่าน ฟ้าจะสว่างแล้ว คุณมีเวลาไม่มาแล้ว พวกเราควรออกไปจากที่นี่แล้ว”
ถ้าออกไปตอนนี้ ก็เท่ากับว่ารอบนี้มาฟรีๆ
เย้นหว่านขมวดคิ้ว แล้วพูดต่อว่า “ท่านอาวุโสแปดคะ การที่คุณจะโทษฉัน โทษโห้หลีเฉิน เป็นเรื่องที่สมควร เพราะพวกเรานำปัญหามาให้คุณ หลังจากที่ออกไป คุณจะตำหนิอะไรพวกเราก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ ฉันมาช่วยพวกคุณออกไปด้วยใจจริง เชื่อใจฉัน และให้ความร่วมมือกับฉันได้ไหมคะ?”
ท่านอาวุโสแปดหยุดเดิน และมองดูเย้นหว่านด้วยสายตาที่เยือกเย็น
เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบและเย็นชา “ผมบอกแล้ว ผมไม่ต้องการ รีบไสหัวไปซะ แล้วอย่ามาสร้างปัญหาให้ผมอีก”
คำพูดนี้ เหมือนเป็นเข็มที่มาทิ่มบนตัวของเย้นหว่าน
เธอรู้สึกเย็นไปทั้งตัว ไม่เคยคิดว่า จะถูกคนเกลียดเยี่ยงนี้
เธอพยายามกดความไม่สบายใจไว้ “คุณเกลียดฉันได้ รังเกียจฉันได้ ทว่า ตอนนี้มีเพียงฉันที่สามารถช่วยคุณออกไปได้ คุณอดทนหน่อย ให้ฉันช่วยคุณ……..”
“ไสหัวไป!”
ผู้อาวุโสที่แปดพูดขัดเธอขึ้นอย่างเยือกเย็น “ถ้าคุณยังไม่ไป ผมก็จะตะโกนเรียกคนแล้วนะ ถ้าคนมาแล้วจับตัวคุณได้ มันจะเป็นผลงานชิ้นแรกของผม”
ท่าทางที่เยือกเย็นของท่านอาวุโสแปด ทำให้เย้นหว่านรู้สึกแปลก
เธออยากจะพูดอะไรอีก ทว่า เมื่อสบตากับเขา ก็พูดอะไรไม่ออกเลย
การปฏิบัติการครั้งนี้ของเธอ ต้องให้ท่านอาวุโสแปดให้ความร่วมมือ ถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือ ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า
ดังนั้น เธอมาครั้งนี้ก็สูญเปล่า?
“ไม่มีเวลาแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามา ดึงมือเย้นหว่านเพื่อออกไป
เย้นหว่านถูกลากให้เดินสองก้าว แต่เธอรู้สึกหน่วงๆและไม่สบายใจ
เธอจึงพูดกับท่านอาวุโสแปดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะมาหาคุณอีก หวังว่าคุณจะเปลี่ยนใจนะคะ”
“ถ้าคุณมาอีก ก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้ผม เย้นหว่าน คุณอยากให้ผมตายเหรอ?”
ท่านอาวุโสแปดพูดขึ้นด้วยความรังเกียจ “ไสหัวไป อย่าโผล่หน้ามาให้ผมเห็นอีก”
สีหน้าของเย้นหว่านซีดไปทันที
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น แล้วดูเวลา “ไปเถอะ”
พูดจบ เขาก็อุ้มผู้ชายที่ถูกเย้นหว่านใช้หินทุบขึ้นมา มืออีกข้างก็ดึงมือของเย้นหว่านแล้วตรงไปยังทางเดิน
ผู้ดูแลเกิดเรื่องที่นี่ คนงานที่นี่ต้องได้รับผลกระทบแน่ๆ ถ้าเอาร่างของเขาออกไป หายตัวไปไม่มีหลักฐานปรากฏ ก็อาจจะถูกสันนิษฐานว่าหนีออกไป
แบบนี้ก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนงาน
ภายในใจของเย้นหว่านรู้สึกอึดอัดมาก เธอหันกลับไปมองข้างหลังตลอด มองดูท่านอาวุโสแปดอย่างช่วยไม่ได้
เธอเคยคิดไว้แล้วว่า การปฏิบัติการในครั้งนี้อาจจะสูญเปล่า แต่เธอไม่เคยคิดว่า ท่านอาวุโสแปดจะเกลียดเธอเพียงนี้
เกลียดเธอถึงขั้นไม่ยอมให้เธอช่วยเขา
หลังจากที่ชายหนุ่มพาเย้นหว่านมารวมตัวกับคนอื่นๆ พวกเขาใช้ประโยชน์จากความมืดยามค่ำคืน ออกไปจากที่นี่อย่างเงียบๆ
เมื่อถึงในป่า ชายหนุ่มโยนร่างที่แบกมาลงพื้น
“ขุดหลุมแล้ว ฝังร่างมัน”
“โอเค”
เย้นเมิ่งกำลังจะจัดการร่างนั้น แต่เย้นหว่านที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างก็พูดขึ้นว่า “เขายังไม่ตาย ปลุกเขาให้ฟื้น ฉันมีเรื่องจะถามเขา”
ชายหนุ่มสับสน “เราไม่สามารถเกลี้ยกล่อมท่านอาวุโสแปดได้ ถ้าเขาไม่คิดที่จะช่วยคุณ ที่นี่ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเรา พวกเราก็จะไม่เข้าไปอีก และผู้ชายคนนี้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว”
การทำลายหลักฐาน เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้
เย้นหว่านสีหน้าซีดขาว ภายในใจรู้สึกหนักหน่วงมาก เธอมองไปที่ทิศทางของเหมืองแร่ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ
แล้วพูดขึ้นทีละคำว่า “ถึงแม้ท่านอาวุโสแปดจะไม่ยอมช่วยเรา แต่เราก็ต้องช่วยเขาออกมาให้ได้”
นี่เป็นสิ่งที่เธอและโห้หลีเฉินติดค้างเขาไว้
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “แต่ว่า แผนของเราไม่ใช่แบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ มันไม่ดีสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้เลย”
“แต่ตอนนี้ พวกเรายังทำอะไรได้อีกเหรอ?”
เย้นหว่านถามกลับ น้ำเสียงเบาและเศร้าแบบนั้น
ไม่มีแล้ว
แผนเดียวคือร่วมมือกับท่านอาวุโสแปด สู้กับหยูฉู่สอง ทว่า การเจรจากับท่านอาวุโสแปดไม่สำเร็จ เธออยู่เมืองเฟยก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงมาอย่างเงียบๆ และกลับอย่างเงียบๆ
การมาในครั้งนี้สูญเปล่า
มันไม่มีหนทางอื่นแล้ว เธอแค่อยากทำอะไรสักอย่าง เพื่อการไถ่โทษ
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เงียบไปสักพัก
สีหน้าของพวกเย้นเมิ่งเต็มไปด้วยความผิดหวัง
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มก็พูดขึ้นว่า “ทำแบบนี้อันตรายมาก ถ้าช่วยคนออกมาหมด หยูฉู่สองต้องรู้ตัวคุณแน่ ถึงเวลานั้น คุณก็ยากที่จะหนีแล้ว”
“แต่ว่า แบบนี้ก็มีข้อดี ใช้ตัวเองเป็นตัวดึงดูด หยูฉู่สองต้องคิดที่จะมาจับคุณแน่ แบบนี้ก็จะทำให้พวกของโห้หลีเฉินมีโอกาสได้พักด้วย”
“แต่แค่คุณ……….”
คำพูดข้างหลังไม่ได้พูดออกไป แต่ว่า ความหมายนั้นชัดเจนมาก
ถูกเจอตัวที่เมืองเฟย ชีวิตของเย้นหว่านก็จะเสี่ยง ไร้หนทางรอด
สีหน้าของเย้นหว่านไม่ได้เปลี่ยน เธอมองดูชายหนุ่มและพวกเย้นเมิ่ง “ถ้าเป็นแบบนี้ พวกนายกลัวไหม? ถ้าใครไม่เต็มใจ ฉันก็ไม่บังคับ ออกไปจากเมืองนี้ก่อนได้”
เย้นเมิ่งพยักหน้า น้ำเสียงหนักแน่น
“ตั้งแต่พวกผมตัดสินใจออกมากับคุณหนู ไม่เคยคิดที่จะกลับไปคนเดียว ไม่ว่าจะให้ทำอะไร แม้จะให้ไปจับระเบิดและต้องตาย พวกเราก็จะไม่ทิ้งกัน แต่ว่า………..”
เย้นเมิ่งหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “พวกเราขอแค่ข้อเดียวครับ ถ้าเวลาฉุกเฉินจริงๆ คุณหนูต้องรักษาความปลอดภัยของตัวเองไว้เป็นอันดับแรกนะครับ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของพวกเรา คุณหนูก็ต้องหนีออกไปให้ได้ด้วยตัวเองนะครับ”
นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไว้ เผื่อในอนาคต เขาต้องเสียสละตัวเองเพื่อให้เย้นหว่านหนี
เมื่อเลือกที่จะอยู่ต่อเพื่อช่วยคน และเป็นเหยื่อล่อเอง เรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ภายในใจของเย้นหว่านหนักหน่วงราวกับมีภูเขามาทับไว้
มองดูสายตาที่หนักแน่นทั้งหกคู่แล้ว เธอกัดฟันแล้วพูดขึ้นว่า “โอเค ฉันรับปาก”
ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ เธอก็……