บทที่ 436 แค่เรื่องถกเถียงกันนิดหน่อยเอง
“มึงไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนที่ไหนมา ไปทำให้ใครเขาโกรธมาเหรอ?!” หลินเย่นเพิ่งจะรับสาย ก็มีเสียงโกรธเดือดดาลระเบิดดังทะลุปลายสายมาทันที
หลินเย่นตกตะลึงไปสักพัก จากนั้นก็เอาแต่ปฏิเสธ “คุณสามี คุณพูดอะไร? ฉันไม่ได้ไปทำผิดกับใครมา ฉันก็นั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ที่บ้านนี่แหละ”
“ตอแหล!” ถังเย่าโจงโมโหจนหลุดคำด่าออกมา “โรงแรมของกูถูกคนปิดไปแล้วเนี่ย แล้วมึงยังมาพูดอีกว่าไม่ได้ไปทำผิดกับใครมา?!”
“อะไรนะ?! โรงแรมของคุณถูกคนปิดไปแล้ว!” เมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ หลินเย่นหน้าถอดสีทันที สิ่งที่สร้างรายได้เชิดหน้าชูตาของสามีของตนเองนั้น มันก็คือโรงแรมแห่งนั้น ถ้าโรงแรมนั่นถูกปิดตาย เช่นนั้นครอบครัวของตนเองก็คงต้องกัดก้อนเกลือกินแล้วแหละ
“สามี มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ถึงแม้ว่าในใจนั้นมีลางสังหรณ์ไม่ดีก็ตาม แต่หลินเย่นก็ยังไม่ยินยอมจะเชื่อ เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับเฉินเฟิงแน่
“มึงถามกูแล้วกูจะไปถามใครล่ะ?” ถังเย่าโจงระเบิดอารมณ์ความโกรธ พร้อมทั้งหลุดคำผรุสวาทมาอีกหลายคำ “ตอนเที่ยงกูยังนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานอยู่งกๆ อยู่ดีๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา บอกว่าโรงแรมของกูมีปัญหาซะงั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จัดการปิดโรงแรมกูเลย…”
“สามี ผู้อำนวยการจางล่ะ คุณไปหาผู้อำนวยการจางหรือยัง?” หลินเย่นอดถามไม่ได้ ก่อนหน้านี้โรงแรมของถังเย่าโจงใช่ว่าไม่เกิดเรื่อง ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ถังเย่าโจงก็จะไปหาผู้อำนวยการจางจ่ายสินน้ำใจให้ ไปๆ มาๆ ถังเย่าโจงก็เริ่มสานสัมพันธ์กับผู้อำนวยการจาง
ระบบข้าราชการของเมืองจงไห่ ถึงแม้ว่าผู้อำนวยการจางจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง แต่ก็มีหน้ามีตามีตำแหน่งในทางสังคม
ถ้าไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ผู้อำนวยการจางก็สามารถจัดการได้
“ไปหาแล้ว! ไม่ไปหาได้ด้วยเหรอ?!”
“ตอนเกิดเรื่องในตอนแรกนั้น กูก็โทรศัพท์หาผู้อำนวยการจางเลย ปกติผู้อำนวยการจางไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน ก็จะรับโทรศัพท์กูเลย แต่วันนี้ โทรไปสิบกว่าสายแล้ว ผู้อำนวยการจางไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่โมโหเดือดดาลของถังเย่าโจง หลินเย่นรู้ได้ทันทีว่าเรื่องมันหนักหนาเอาการอยู่ ครอบครัวของพวกเขานึกว่าการพึ่งพาอาศัยอำนาจของผู้อำนวยการจาง แต่ครั้งนี้ขนาดโทรศัพท์ก็ไม่กล้าแม้แต่จะรับสาย
“สามี เอางี้… คุณลองโทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการจางอีกสองสามครั้งดู? บางทีผู้อำนวยการจางคงยุ่งอยู่เลยไม่ได้ใส่ใจมั้ง?” หลินเย่นยังคงทำใจดีสู้เสือ ถึงแม้ว่าในใจจะเข้าใจแจ่มแจ้งก็ตาม ว่าเรื่องนี้เฉินเฟิงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทว่าเธอยังคงไม่รู้สึกตัวว่า เฉินเฟิงจะมีอำนาจมากมายถึงเพียงนี้
“ในสมองมึงมีแต่ขี้เลื่อยหรือไง?! ไม่ว่าผู้อำนวยการจางจะยุ่งขนาดไหน จะยุ่งถึงขนาดไม่สามารถรับสายได้เลยสักสายเหรอ?” ถังเย่าโจงโมโหจนหลุดด่าออกมา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หลินเย่นยังไม่เข้าใจอีก ว่าเรื่องมันหนักหนาสาหัสมาก
นี่มันหมายความว่ามีคนจงใจทำลายครอบครัวของพวกเขา แถมคนคนนั้นยังมีอำนาจ ขนาดที่ผู้อำนวยการจางจะเตือนพวกเขาสักหน่อยยังไม่มีกล้าทำเลย
ถังเย่าโจงโทรศัพท์ไปสิบกว่าสายแล้ว ถึงได้เข้าใจปัญหานี้
แต่เขาเองก็ครุ่นคิดอยู่นั้น แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ว่าเขาไปเหยียบเท้าใครมา ช่วงนี้ เขาก็ทำตัวสงบเสงี่ยมมาก ไม่ได้ทำอะไรทั้งทางตรง และทางอ้อมเลย
ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ไปก่อเรื่องมา งั้นคนที่ไปก่อเรื่อง ก็ต้องเป็นหลินเย่นกับถางรั่วเสวี่ยนแล้ว
เพราะว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นถังเย่าโจงเข้าใจดี นิสัยของภรรยาของตนเองตอนอยู่นอกบ้านทำตัวแบบไหน การหาเรื่องไปทั่ว ก็มีไม่น้อย
“สามี วันนี้ฉันก็แค่ไปทะเลาะถกเถียงกับคนมานิดหน่อยเอง…” ถังเย่าโจงพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หลินเย่นก็รู้ตัวจนไม่สามารถปิดบังได้อีกแล้ว จนต้องรับสารภาพออกมา
“แกบอกว่าหลานสาวของแกตอนนี้เป็นประธานอยู่ที่บริษัทคางเหม่ยกรุ๊ปใช่ไหม?” เสียงถังเย่าโจงที่อยู่ปลายสาย เมื่อได้ยินเสียงหลินเย่นอธิบายอย่างละเอียดแล้ว สติได้แต่เตลิดกระเจิง
“ใช่ ก็ไม่ว่าอีนางนั่นมันโชคดีอะไรนักหนา แค่ไม่กี่วัน จากคนบ้านนอกก็กลายมาเป็นประธานของบริษัทคางเหม่ยกรุ๊ปซะงั้น” เมื่อเอ่ยถึงเสี้ยเมิ่งเหยาแล้ว น้ำเสียงของหลินเย่นมีแต่ความอิจฉาริษยาทั้งโกรธทั้งเกลียดไปพร้อมๆ กัน
“อีโง่! แกนี่มันเป็นอีโง่ของแท้!”
“เขาไปเป็นประธานบริษัทแล้ว มึงไม่ไปสนครอบครัวของคนอื่นก็ดีแล้ว แต่มึงเนี่ยยังเสือกไปก่อเรื่องให้เขาอีก?!”
ถังเย่าโจงโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา ถึงจะทำร้ายเขาให้ตายไปเขาก็ไม่คิดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมันจะมาจากอีโง่หลินเย่นนี่เองที่ลับหลังแอบไปก่อเรื่องกับคนอื่นเองเลย
โดนถังเย่าโจงด่าซะไม่เหลือชิ้นดี หลินเย่นรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย “สามี ฉันก็ทำเพื่อรั่วเสวี่ยนของเรา…”
“ตอแหล! มึงมันสมองขี้เลื่อย ถ้าต้องการให้รั่วเสวี่ยนมีอนาคตที่ดี มึงก็ไม่ควรที่จะไปหาเรื่องเสี้ยเมิ่งเหยาคนนั้น!”
“รองประธานบริษัทเลยเหรอ?! มึงนี่มันไม่อายบ้างเหรอที่อ้าปากพูดออกไป?! นิสัยของรั่วเสวี่ยนพวกเราเป็นแบบไหน ใช่ว่ามึงไม่รู้! อย่าพูดว่าให้เธอมาเป็นรองประธานเลย ให้ตำแหน่งเป็นแค่ เธอก็พนักงานกระจอกๆ เธอไม่มั่นใจจะทำได้ออกมาดีเลย!”
“มึงนี่มันอีโง่! หรือว่ามึงต้องการทำให้กูโมโหจนตายคาที่ไปเลยมึงถึงได้สบายใจได้?!”
“สามี ฉันไม่ได้หมายความว่างั้น…” หลินเย่นพยายามอธิบายกลับอย่างเสียงเบา ถึงแม้ว่าจะถูกถังเย่าโจงสั่งสอนก็ตาม แต่หลินเย่นก็ยังไม่รู้สึกว่า ตัวเองไปก่อปัญหาเอาไว้
ถางรั่วเสวี่ยนไม่เหมาะกับตำแหน่งของรองประธานแล้วไงล่ะ คนที่ไม่เหมาะก็มีถมไป เสี้ยเมิ่งเหยาก็ใช้ชีวิตถูๆ ไถๆ แบบนั้น แต่เสี้ยเมิ่งเหยามาทำงานเป็นประธานบริษัทได้ ลูกสาวของตนเองมาทำงานตำแหน่งรองประธานบริษัทได้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรนี่?
แน่นอนว่า คำพูดนี้หลินเย่นได้แต่พูดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมาจากปาก ถ้าพูดออกมา ถังเย่าโจงก็คงโมโหจนหัวใจวายตายที่โรงแรมนั่นแหละ
“กูไม่สนว่ามึงจะหมายความว่ายังไง ตอนนี้มึงรีบไปขอโทษหลานสาวคนนั้นของมึงซะ รีบให้เธอยกโทษเร็วๆ!” ถังเย่าโจงพูดอย่างโมโห
“สามี ไปขอโทษอีนางนั่นเกรงว่ามันยังไม่พอ…” หลินเย่นพูดเสียงอ่อย เมื่อครู่เธอแค่บอกกับถังเย่าโจง ว่าไปก่อเรื่องกับเสี้ยเมิ่งเหยามา แต่ไม่ได้บอกเรื่องที่หลิงคุนกับอู่จื้อเคอมาหาเรื่องเธอ
ยิ่งคำพูดที่หลิวคุนกับอู่จื้อเคอฝากเอาไว้อีก เรื่องทั้งหมดเฉินเฟิงเป็นคนชักนำอยู่เบื้องหลัง
“อีโง่มึงนี่ยังหาเรื่องไปก่อเรื่องกับใครอีก?!” ถังเย่าโจงเริ่มโมโหระเบิดอารมณ์เหมือนสายฟ้าฟาด ถ้าหากว่าหลินเย่นไม่ได้อยู่ข้างกายของเขาแล้ว เขาคงจะตบหน้าหลินเย่นแรงๆ ไปสักสองสามที
“ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็อดีตสามีเก่าของอีนางนั่นไง เฉินเฟิง ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยเอ่ยเรื่องลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านคนนั้นกับคุณตั้งหลายครั้ง” หลินเย่นเอ่ยขึ้นมา ตั้งแต่วันที่เธอแต่งงานกับถังเย่าโจงแล้ว น้อยครั้งนักที่เธอจะติดต่อกับหลินเย่น แต่ว่าเรื่องครอบครัวของหลินหลัน เธอสนใจเรื่องนี้มาโดยตลอด
“ลูกเขยแต่งเข้าบ้านเหรอ?”
“เฉินเฟิงเหรอ?”
ถังเย่าโจงตะลึงพรึงเพริด สักพักในสมองก็มีขุดข่าวคราวของเฉินเฟิงออกมา
“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเขา?”
“เมื่อครู่ลูกน้องจอมประจบสอพลอของมันสองคน มาหาที่บ้านเรา…” หลินเย่นรีบเอาเรื่องที่หลิวคุนกับอู่จื้อเคอพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ปากพาซวย?”
เมื่อได้ยินคำนี้ ถังเย่าโจงถึงได้เข้าใจทันที จากนั้นเขาทั้งเกลียดหลินเย่นจนต้องหมั่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอาไว้ ความรู้สึกนี้ตั้งแต่แรก หลินเย่นก็ยังไม่รู้ด้วย ว่าคนที่ทำผิดกับเขาคือใคร แต่หลินเย่นก็ยังคงแข็งข้อกับเรื่องนี้ไม่เลิก
“สามี ฉันเคยเจอไอ้ไร้ประโยชน์นั่นที่เมืองชางโจวอยู่หลายครั้ง เขาก็แค่ไอ้คนไร้ค่าที่เกาะเมียกิน ก่อนหน้านี้ตอนที่บ้านหลินหลันกำลังนั่งทานข้าว ขนาดนั่งที่โต๊ะกินข้าวเขายังนั่งไม่ได้สิทธินั้นเลย แล้วอยู่ดีๆ เขาก็มีอำนาจบาตรใหญ่ขึ้นมา ฉันรู้สึกว่า เรื่องมันแปลกประหลาดอยู่” หลินเย่นขมวดคิ้วหากัน