บทที่ 446 แดนเทียนหวง
“ไม่เคย” เฉินเฟิงส่ายหัว
“นายคิดว่าเปียโนนั่นมีปัญหา?” เห็นเจ้าสามหวงขมวดคิ้ว เฉินเฟิงอดไม่อยู่ถามออกมาหนึ่งคำ
“ใช่ ฉันคิดว่าสิ่งที่แม่นายเหลือไว้ให้นายจริงๆไม่น่าจะเป็นคฤหาสน์นี้ แต่เป็นเปียโนนั่น ในเปียโนนั่นอาจจะมีอะไรที่แม่นายอยากบอกนายก็ได้” เจ้าสามหวงบอก
“ไป ไปดูกัน” เฉินเฟิงหรี่ตาลงพลางว่า
หลายนาทีผ่านไป ทั้งสองคนกลับมาที่ตึกเล็กเมื่อกี้
คราวนี้พอเดินเข้าไป เฉินเฟิงกระจายพลังในตัวออกไปเหนือเปียโน และเริ่มตรวจสอบอย่างละเอียด
พอพลังเข้าสู้เปียโน เฉินเฟิงจิกตามองอย่างตกใจ
ในเปียโนมีของอยู่!
“เจอจริงหรอ?”
พอเห็นสีหน้าเฉินเฟิง เจ้าสามหวงก็ทำหน้าแปลกใจ เมื่อกี้เขาแค่เดา แต่ไม่คิดว่าเขาจะพูดตรงเผงเลย
เฉินเฟิงไม่ได้พูดอะไร เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเปิดกล่องเปียโนขึ้น
ภายใต้แสงอ่อนๆ แผนที่เก่าออกเหลืองแผ่นหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ในเปียโน
บางทีอาจเพราะวางไว้ไม่ได้ขยับมานาน บนแผนที่เต็มไปด้วยฝุ่น
เฉินเฟิงยื่นมือหยิบแผนที่ออกมา ค่อยๆปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนแผนที่ออก และวางมันลงบนเปียโน และเริ่มทำการตรวจดู
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาเฉินเฟิงคือ อักษรโบราณสามตัวที่อยู่ด้านบนแผนที่
“แดนเทียนหวง?”
ยังไม่รอเฉินเฟิงอ่านออกมา เจ้าสามหวงที่ยื่นหน้าเข้ามาก็แซงเขาไปก่อน ร้องออกมาอย่างตกใจ
“นายเคยได้ยินหรอ?” พอเห็นสีหน้าตกใจของเจ้าสามหวง เฉินเฟิงอดถามไม่ได้
“เคยได้ยิน” เจ้าสามหวงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เคยได้ยินที่ไหน?” เฉินเฟิงต่อมความอยากรู้กระตุก
“ที่อารามเล็กแห่งหนึ่ง”
“ตอนนั้นฉันอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปด มีคืนหนึ่งระหว่างเดินทางฉันกับอาจารย์เจอกับพายุฝนห่าใหญ่ จากนั้นพวกเราเลยไปหลบฝนที่อารามเล็กแห่งหนึ่ง ได้เจอกับนักเดินทางหลายคนที่มาหลบฝนเหมือนเรา กลางคืนยาวนานนัก พวกเราอยู่ในอารามเดียวกัน เลยคุยกันไปมา”
“ตอนนั้นการแต่งตัวพวกเขาน่ะแปลกมาก ชุดยาวถือกระบี่กันทั้งนั้น ไม่เหมือนการแต่งตัวของคนอื่นที่เป็นปัจจุบันเลย อาจารย์ฉันยังแปลกใจเลย เลยถามว่ามาจากที่ไหนกัน หนึ่งในพวกเขาหัวเราะบอกว่า: พวกเขาเป็นคนแดนเทียนหวง”
“อาจารย์ฉันตอนนั้นอึ้งตะลึงมาก เขาเองท่องยุทธภพไปทั่วหวาเซี่ย ได้รู้จักโลกกว้างมากมาย แต่แดนเทียนหวงนี่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
เขาเลยถามต่อว่า แดนเทียนหวงอยู่มณฑลไหน เมืองอะไร”
“คนนั้นกลับบอกว่า: แดนเทียนหวงไม่อยู่ในมณฑลไหนเลย และไม่อยู่ในเมืองไหนด้วย แดนเทียนหวงเป็นโลกใบเล็กที่อยู่เป็นเอกเทศ คล้ายกับเกาะดอกท้อนอกโลกอะไรประมาณนั้น”
“สำหรับวิธีพูดแบบนี้ อาจารย์ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว เขาคิดว่าคนพวกนั้นล้อเขาเล่น ต่อมาเลยไม่ได้ถามต่อ”
“เช้าวันต่อมาตอนพวกเราตื่นขึ้นมา พวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว อาจารย์เลยลืมเรื่องนี้ไปเลย แต่ตอนนั้นฉันยังเผื่อใจและจำเรื่องไว้ เพราะฉันรู้สึกว่า ตอนคนพวกนั้นบอกว่าตัวเองเป็นคนแดนเทียนหวง ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น และการแต่งกายของพวกเขาก็ไม่เหมือนคนสมัยนี้เลย”
เจ้าสามหวงยิ่งพูดยิ่งสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เดิมเขาคิดว่าคนพวกนั้นที่เจอเมื่อห้าสิบปีก่อนเป็นแค่คนสติไม่ดีไม่กี่คน แต่พอมาวันนี้ดูท่าคนพวกนั้นเป็นไปได้มากว่าจะมาจากแดนเทียนหวงกันจริงๆ
“พูดแบบนี้แปลว่ามีแดนเทียนหวงจริงๆ?” สีหน้าเฉินเฟิงเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา เทียบกับเจ้าสามหวงแล้ว เขากลับยอมรับการมีอยู่ของแดนเทียนหวงง่ายกว่า
เพราะเขาเคยคุยกับเซียวกั่วจงเรื่องแดนสูงสุดของจอมยุทธ์
เขาถามเซียวกั่วจงว่า เหนือระดับมหาปรมาจารย์จะมีดินแดนอะไรอีก ตอนนั้นคำตอบของเซียวกั่วจงคือไม่มี อย่างน้อยในโลกนี้ มหาปรมาจารย์คือขั้นสุด
ในสถานการณ์ตอนนั้นคำพูดของเซียวกั่วจงดูไม่มีปัญหาอะไร
แต่พอมาคิดดูวันนี้ คำพูดของเซียวกั่วจงมีปัญหาใหญ่เลย!
มหาปรมาจารย์ถือเป็นขั้นสุดในโลกนี้ แล้วถ้าแดนเทียนหวงล่ะ?
มหาปรมาจารย์คงกลายเป็นขั้นเริ่มต้นล่ะมั้ง
พอคิดถึงตรงนี้ เฉินเฟิงตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก
ถ้ามหาปรมาจารย์เป็นแค่ขั้นเริ่มต้นของที่แดนเทียนหวง งั้นมันดูน่ากลัวไปหน่อยไหม
“แดนเทียนหวงอาจจะมีอยู่จริงก็ได้” เจ้าสามหวงพูดเสริมเสียงต่ำ “ประวัติศาสตร์การสืบทอดศิลปะการต่อสู้มีมายาวนานมาก ปกติแล้ว อายุขัยของจอมยุทธ์หมิงจิ้งจะมากกว่าคนธรรมดายี่สิบปี
“จอมยุทธ์อ้านจิ้ง อย่างน้อยต้องมีสามสิบปี”
“พอถึงหั้วจิ้ง ก็คือขั้นของนายกับฉัน อายุขัยของพวกเราจะมากกว่าคนธรรมดาอย่างน้อยหกสิบปีเลย
“ส่วนมหาปรมาจารย์ ถึงฉันไม่กล้าคาดเดาอะไร แต่ถ้าให้เดา อายุขัยของพวกเขาอย่างน้อยต้องมากกว่าคนธรรมดาหนึ่งร้อยปีได้”
“ก็แปลว่า ในสถานการณ์ปกติแล้ว มหาปรมาจารย์คนหนึ่งจะมีอายุราวสองร้อยปีก็ไม่เป็นปัญหาเลย”
“ตอนนี้มหาปรมาจารย์ที่หวาเซี่ยจารึกชื่อไว้มีแค่เก้าคน”
“แต่ฉันคิดว่า เก้าคนนี้น่าจะไม่ใช่ทั้งหมด นอกจากเก้าคนนี้แล้ว ต้องมีมหาปรมาจารย์ของยุคสาธารณรัฐจีน หรือแม้กระทั่งราชวงศ์ชิงอยู่แน่”
“แต่จวบจนวันนี้ฉันยังไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องมหาปรมาจารย์ของราชวงศ์ชิงหรือสาธารณรัฐจีนเลย” เจ้าสามหวงพูดเสียงขรึม คนของวงการศิลปะการต่อสู้ต่างพากันคิดว่า การเข้าสู้หมิงจิ้งถือเป็นการเริ่มต้นของศิลปะการต่อสู้
แต่พอบรรลุหั้วจิ้งได้ เขากลับรู้สึกว่า หั้วจิ้งถึงจะเป็นการเริ่มต้นที่แท้จริงของศิลปะการต่อสู้
มีแต่บรรลุขั้นหั้วจิ้งเท่านั้นถึงจะรับรู้ถึงวงการศิลปะการต่อสู้ได้อย่างแท้จริง
ยิ่งได้รับรู้วงการศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง ก็ยิ่งรู้สึกว่า หนทางของวงการศิลปะการต่อสู้เป็นหนทางที่ไม่มีวันมีวันสิ้นสุดได้
“จุดนี้น่าสงสัยจริง ถ้าพวกเขาอยู่ที่หวาเซี่ยจริง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีร่องรอยอะไรเลย”
“นอกเสียจากว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่หวาเซี่ย” เฉินเฟิงพูด ก่อนนี้เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่พอได้ยินเจ้าสามหวงพูดวันนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า พวกมหาปรมาจารย์ในยุคสร้างประเทศพวกนั้นไม่เคยปรากฏตัวในหวาเซี่ยเลย
พวกที่ปรากฏร่างในหวาเซี่ย มีจารึกไว้เป็นมหาปรมาจารย์ที่หลังยุคสร้างประเทศ
“ไม่อยู่ในหวาเซี่ย งั้นอาจจะอยู่ในแดนเทียนหวงก็ได้” เจ้าสามหวงบอก
“เจ้าตัวแสบนี่ แม่นายน่ะน่าจะมีที่มาใหญ่อยู่นา” เจ้าสามหวงเบนสายตากลับไปที่เฉินเฟิง ถึงจะไม่รู้ว่าซูจ้าวชิงเหลือแผนที่ไว้ให้เฉินเฟิงต้องการอะไร แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ซูจ้าวชิงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกี่ยวข้องกับแดนเทียนหวง!
กระทั่งตัวเธอเองเป็นคนของแดนเทียนหวงก็ได้!
เฉินเฟิงพยักหน้าเบาๆ และพูดเสียงขรึมว่า:
“เรื่องแผนที่…พักไว้ก่อน ตอนนี้พวกเราไม่มีความสามารถไปสืบค้นเรื่องแดนเทียนหวง”
“วางใจเถอะ ฉันยังไม่อยากตายหรอกนะ” เจ้าสามหวงตบอกผ่างเป็นเชิงรับประกัน คำพูดของเฉินเฟิงกำลังเตือนเขาให้ควบคุมความอยากรู้ของตัวเอง อย่าหาเรื่องไปสืบแดนเทียนหวงโดยลำพัง
ถึงปากจะบอกไม่สนเรื่องแดนเทียนหวง แต่ในใจเฉินเฟิงก็จำแดนเทียนหวงไว้แล้ว ไว้รอจัดการเรื่องยุ่งในมือหมดแล้ว เขาต้องไปหาตำแหน่งแดนเทียนหวงตามที่บอกไว้ในแผนที่แน่
พอค้างที่Tianshan Living Areaหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาเฉินเฟิงก็มาที่บริษัทคางเหม่ยกรุ๊ปตามเวลาอีก