และในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้น ชายคนนั้นก็ดันหันไปเห็นชิงจือเข้าพอดี
เขาจึงหันไปถามเฉินเฟิงทันที “ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของคุณ หรือว่า?”
เฉินเฟิงมองตามทิศที่เขามองไป ก็เห็นว่าเป็นชิงจือ ส่วนเยว่เอ๋อนั่งอยู่ข้างหลังเขาจึงมองไม่เห็น
เฉินเฟิงถามกลับ: “คุณคิดจะทำอะไร?”
ชายคนนั้นจึงยิ้มออกมา: “ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาไม่เลวนี่ ถ้าหากคุณยอมให้เธอไปนอนกับคุณชายหลัวสักคืนหนึ่ง บางทีหากคุณชายหลัวมีความสุขอาจยอมปล่อยคุณไปก็ได้”
เฉินเฟิงถึงกับพึมพำอยู่ในใจ: “เจ้าหมอนี่มันบ้าตัณหาชัดๆ ถึงได้กล้าชี้เป้าไปยังตัวชิงจือแบบนี้”
เฉินเฟิงไม่ตอบกลับใดๆ ส่วนทางด้านคุณชายหลัวดูเหมือนว่าจะติดต่อหาคนอื่นไปแล้ว ซึ่งดูจากสีหน้าของเขาแล้วคงจะมีการจัดการหมดแล้ว และอีกไม่นานก็คงจะมีคนมาจับตัวเฉินเฟิง
ชายคนนั้นพูดจาโน้มน้าวอีกครั้ง: “ถ้าหากตอนนี้คุณยังไม่คิดให้ดี รอให้คนมาแล้ว ต่อให้คุณอยากจะพูดก็ไม่มีโอกาสแล้วนะ”
เฉินเฟิงรู้สึกว่าความตื่นเต้นได้สิ้นสุดลงตรงนี้แล้ว เขาเลยเตรียมจะโทรไปยังคนที่เขารู้จัก ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเขาถูกไล่ตามที่นี่ ตัวเขาก็จะยิ่งเจอปัญหายุ่งยากมากขึ้นไปอีก
แต่ในขณะที่เขาเตรียมจะโทรเรียกคนมา คุณชายหลัวคนนั้นเหมือนจะสังเกตเห็นคนที่อยู่ในรถของเฉินเฟิง และจากนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นหวาดกลัวขึ้นมาทันที เฉินเฟิงที่เห็นแบบนั้นก็หยุดความคิดของตัวเองทันที
คุณชายหลัวเดินตรงไปยังรถของเฉินเฟิง และหญิงสาวคนสวยที่มากับเขาก็เข้าไปถามว่าเขาต้องการจะทำอะไร แต่เธอกลับถูกเขาผลักออกมา หญิงสาวกรีดร้องคร่ำครวญออกมาอีกครั้ง แต่ว่าคุณชายหลัวก็ไม่ได้สนใจเธอ พลางมุ่งหน้าไปยังรถของเฉินเฟิงที่จอดอยู่
เมื่อเขาเดินไปถึงหน้ารถก็พยายามมองดูอย่างถี่ถ้วนก่อนจะอุทานออกมาด้วยตกใจ: “เป็นเธอได้ยังไง?”
คุณชายหลัวหันไปมองเฉินเฟิงด้วยความสับสนก่อนจะถาม: “หลี่จื่อเยว่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ?ทำไมเธอถึงมาอยู่บนรถของแกได้ แกลักพาตัวเธอมางั้นหรอ ?”
เฉินเฟิงเองก็ตกใจไม่น้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พอจะเดาได้ว่าหลี่จื่อเยว่คนนั้นน่าจะหมายถึงเยว่เอ๋อ แต่ทำไมคุณชายหลัวคนนี้พอเห็นเยว่เอ๋อแล้วต้องกลัวด้วย
ยังไม่ทันรอคำตอบจากเฉินเฟิง คุณชายหลัวก็เดินไปข้างรถของเฉินเฟิง เขาหยุดแล้วมองดูสภาพของตัวเองผ่านกระจกรถพร้อมกับจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเปิดประตูหลังออกอย่างระมัดระวัง
ทางด้านหลี่จื่อเยว่ที่เป็นเพราะอารมณ์กำลังย่ำแย่ ดังนั้นสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเธอเพียงแค่หันไปดูเพียงครู่เดียวก็ไม่ได้สนใจอีก
แต่จู่ๆ ตอนนี้กลับมีคนมาเปิดประตูข้างๆ ที่เธอกำลังนั่งอยู่จึงทำให้เธอตกใจไม่น้อย
“คุณหนูหลี่ สวัสดีครับ ดีใจที่ได้เจอคุณที่นี่” คุณชายหลัวพูดกับหลี่จื่อเยว่ด้วยรอยยิ้มจางๆ
เมื่อเห็นว่าเป็นชายแปลกหน้าคนหนึ่ง หลี่จื่อเยว่จึงขยับถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะถามอีกฝ่าย
“คุณเป็นใคร?ฉันรู้จักคุณด้วยงั้นหรอ?”
“คุณหนู่หลี่อาจจะไม่รู้จักผมหรอก แต่ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณหนู ผมเคยไปร่วมแสดงคำอวยพรแก่คุณหนู ดังนั้นทุกวันนี้ก็เลยยังจำได้ เมื่อสักครู่นี้เห็นคุณหนูเข้าเลยแวะเข้ามาทักทาย”
เขาพูดออกมาด้วยความเกรงใจอย่างมาก ซึ่งแตกต่างกับท่าทีที่เขาแสดงต่อเฉินเฟิงโดยสิ้นเชิง
แต่ว่าหลี่จื่อเยว่กลับไม่ได้มีอารมณ์จะมาพูดคุยกับเขา จึงได้เพียงตอบกลับตามมารยาทเท่านั้น
“ขอโทษนะคะ คุณช่วยปิดประตูหน่อยได้ไหม ฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันอยู่ที่นี่”
คุณชายหลัวได้เพียงตอบกลับด้วยความเคารพเท่านั้น
“ได้ครับ คุณหนูหลี่”
เฉินเฟิงและชายที่ยืนอยู่ข้างเขายืนดูฉากละครนั้นอย่างคาดไม่ถึง
“ผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”
“คุณดูไม่ออกงั้นหรอ?คุณชายหลัวคนนั้นก็พูดออกมาแล้วไม่ใช่หรือไง?” เฉินเฟิงตอบกลับอย่างล้อเลียน
“ผมรู้ว่าคุณชายหลัวพูดแล้ว แต่ว่า ……”
คุณชายหลัวที่หลังจากปิดประตูลงก็เดินมาตรงหน้าของเฉินเฟิงพวกเขาสองคน
เขาพูดพร้อมกับจ้องเฉินเฟิง: “คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับคุณหนูหลี่?”
เฉินเฟิงที่เห็นท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคนก็ตอบกลับอย่างเรียบง่าย: “ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เพื่อนกันก็เท่านั้น”
“คุณเป็นเพื่อนกับคุณหนูหลี่ อย่างคุณเนี่ยนะ?”
“ทำไม หรือว่าคุณจะลองไปเชิญเธอลงมาพูดล่ะ” เฉินเฟิงพูดแนะ
แต่คุณชายหลัวกลับสะบัดมือ: “ไม่ต้องๆ ผมเชื่อแล้ว”
เฉินเฟิงจึงถามอีกครั้ง: “ถ้างั้นพวกเราไปได้หรือยัง?คงจะไม่มีใครมาจับผมแล้วสินะ?”
คุณชายหลัวพูดอย่างนอบน้อม: “ใช่ๆ ในเมื่อเป็นรถของคุณหนูหลี่แน่นอนว่าจะทำอะไรก็ได้ เมื่อสักครู่นี้เป็นแค่การหยอกล้อกันทั้งนั้น จะมีคนมาจับพวกคุณได้ยังไงกัน ฮ่าๆๆ ”
“แล้วที่ผมต่อยคุณไปหนึ่งทีนั่นล่ะ จะให้ผมชดใช้ด้วยหรือเปล่า ผมคงจะไม่มีเงินมากพอ คงต้องล้มละลายซะแล้ว”
แต่คุณชายหลัวกลับตอบอย่างจริงจังขึ้นมา: “หมัดนั้นเป็นเพราะความผิดของผม สมควรจะได้รับโทษอยู่แล้ว จะให้พี่ชายมาชดใช้ได้ยังไงเล่า ควรจะเป็นผมมากกว่าที่จะต้องชดใช้ด้วยการเชิญพวกพี่ชายไปทานอาหารสักมื้อเป็นการขอโทษ”
เฉินเฟิงสะบัดมือปฏิเสธพร้อมกล่าวด้วยท่าทางใจกว้าง : “ทานข้าวคงจะไม่ต้องหรอก แต่คราวหน้าต่อให้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็อย่ามาเล่นพิเรนทร์แบบนี้บนท้องถนน มันอันตราย”
คุณชายหลัวจึงรีบพยักหน้าทันที
เมื่อพูดจบ เฉินเฟิงก็เดินหันหลังกลับทันที เหลือเพียงแต่ชายอ้วนและคุณชายหลัวที่ยืนอยู่ตรงนั้น ชายอ้วนที่เห็นอย่างนั้นจึงหันไปถามคุณชายหลัวด้วยความสงสัย : “คุณชายหลัว ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครมาจากไหนหรอครับ!”
แต่ยังพูดไม่ทันขาดคำ คุณชายหลัวกลับต่อยหน้าเขาทีหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง เขากุมหน้าด้วยความเจ็บปวดพลางมองไปยังคุณชายหลัว แต่คุณชายหลัวกลับตอบกลับด้วยความเย็นชา
“เรื่องที่นายไม่ควรรู้ก็อย่าได้ถาม”
และในตอนนั้นเองเฉินเฟิงที่กำลังนั่งอยู่ในรถก็จ้องมองมาที่เขาพอดี คุณชายหลัวจึงเปลี่ยนสีหน้าแล้วยิ้มใส่เฉินเฟิงโดยทันที
รอจนกระทั่งเฉินเฟิงขับรถจากไป เขาถึงกลับมาแสดงสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง
และแล้วพระอาทิตย์ก็ใกล้เวลาจะตกดิน แต่ว่าบริเวณโดยรอบพวกเขากลับมีเพียงความว่างเปล่า เมื่อมองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นหมู่บ้านเลยสักแห่ง ซึ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเมืองเลย
รถของพวกเขาถูกจอดลงบนพื้นที่โล่งข้างทาง หลี่จื่อเยว่ดึงตัวชิงจือวิ่งไปยังพื้นที่ที่มีร่มเงา ส่วนเฉินเฟิงที่เดินตามลงมาก็เหลียวหันไปมองอีกทาง
จนกระทั่งเริ่มรู้สึกผ่อนคลายเขาจึงเดินออกมาจากหลังก้อนหินใหญ่ก้อนนั้น โดยตอนนี้หลี่จื่อเยว่พวกเธอสองคนก็ยังไม่กลับมา ในขณะที่พื้นที่รอบๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงัด บนท้องฟ้าอันไร้เขตสิ้นสุดถูกประดับด้วยหมู่ดาวระยิบระยับจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่าง
เฉินเฟิงที่นั่งอยู่บนก้อนหินข้างทางกำลังนึกคิดว่าควรจะถามเรื่องเล่าขานของมหาปรมาจารย์กับชิงจือว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะทางด้านชิงชิวอาจจะแค่เคยได้ยินคำบอกเล่าเท่านั้น แต่ชิงจือเป็นถึงมหาปรมาจารย์ก็น่าจะรู้เรื่องนี้แน่นอน
แต่เมื่อเห็นว่าหลี่จื่อเย่จูงมือชิงจือกลับมา เขาที่ได้เห็นใบหน้าไม่รับแขกของชิงจือนั้น เขาก็คิดได้ทันทีว่าไม่ควรจะไปลองดีด้วยน่าจะดีกว่า
“คืนนี้พักผ่อนที่นี่ไปก่อนแล้วกัน ต่อให้ตรงไปข้างหน้าก็ยังไม่มีเมืองอยู่ดี”
รอจนพวกเธอสองคนเดินเข้ามาใกล้ เฉินเฟิงจึงได้พูดขึ้น
สำหรับชิงจือไม่ได้มีความเห็นใดๆ แต่หลี่จื่อเยว่กลับพูดขึ้นด้วยความกลัว
“ในป่าแบบนี้หรอคะ?จะไม่เจออันตรายหรอคะ?”
เฉินเฟิงที่เห็นท่าทีระมัดระวังตัวเธอ ก็ตอบกลับด้วยความหยอกล้อ
“ในเมื่อเธอกลัว ก็ลองเดินตรงไปข้างหน้าดูเองสิ บางทีหากเจอหมู่บ้าน เธอก็ไม่ต้องมาค้างคืนที่นี่แล้ว”
หลี่จื่อเยว่ที่นึกสภาพตัวเองเดินบนถนนท่ามกลางความมืดมิดคนเดียว เธอก็นึกหวาดกลัวจนร้องออกมา
“ไม่เอา”
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจออกมา โดยที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของชิงจือที่กำลังเคร่งขรึม
หลังจากที่ทานอาหารและน้ำหมดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกนอกจากนอนค้างคืนภายในรถเพื่อรอให้ฟ้าสางของวันรุ่งขึ้นมาถึงเท่านั้น
และในตอนที่เฉินเฟิงกำลังนอนหลับด้วยความสะลึมสะลือ เขาก็ได้ยินเสียงเรียกของชิงจือข้างๆ เขา
“ตื่นๆ !”
เฉินเฟิงถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา