เฉินเฟิงก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นอีกครั้งหนึ่งว่า “ต่อให้แกสามารถพาเธอออกไปได้ แต่ว่าแกเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ตระกูลเชียน ตระกูลอู๋ พวกเขาจะยอมปล่อยพวกแกไปเหรอ? ต่อให้เป็นสุดหล้าฟ้าเขียว พวกเขาก็จะต้องพาตัวพวกแกกลับมาให้จงได้ แกคิดว่าด้วยอำนาจอิทธิพลของพวกเขาแล้ว พวกแกจะหนีไปหลบที่ไหนได้มั่งล่ะ? หนีเข้าไปอยู่ในป่าในถ้ำเป็นชาวป่าชาวเขาเหรอไง?”
ในที่สุดคำพูดของเฉินเฟิงก็ทำให้เชียนหนิงโกรธจัด เขามองไปยังเฉินเฟิงอย่างไม่พอใจ แล้วพูดว่า “ก็แกเป็นคนที่ให้ฉันอย่าเห็นแก่ตัว ให้ฉันลุกฮือขึ้นมาเพื่อปกป้องคนสำคัญของตัวเอง แต่ว่าตอนนี้กลับบอกฉันว่านี่มันเป็นไปไม่ได้ หรือว่าแกกำลังปั่นหัวฉันเล่นอยู่เหรอไง?”
ดวงตาทั้งคู่ของเขากลมโต ราวกับสามารถพ่นไฟออกมาได้ แต่ก็คงยังพอมีสติอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงลงมือกับเฉินเฟิงไปแล้ว
เฉินเฟิงก็ไม่อยากจะลงมือกับเขาที่นี่เช่นกัน หากเกิดความวุ่นวายขึ้นมา เรื่องนี้ตระกูลเชียนก็จะมาถือโทษโกรธแค้นเขาด้วย
เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ฉันเพียงแต่พูดถึงเงื่อนไขที่ไม่ดีออกมา มีเรื่องอะไรก็ต้องคิดวางแผนให้ดีๆ ต้องคิดดูให้รอบคอบก่อน รอให้วางแผนเรียบร้อยแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สายเลย”
“ไม่ได้ ตอนนี้ฉันรอไม่ไหวอีกแล้ว ความอดทนของฉันมันนานมากเกินไปแล้ว เธอต้องแบกรับความทุกข์ทรมานมาโดยตลอด ฉันสามารถรับรู้ได้ ฉันอยากจะพาเธอหนีไป ฉันอยากให้อิสระแก่เธอ”
นึกไม่ถึงว่าเชียนหนิงจะปฏิเสธเฉินเฟิงเช่นนี้
“งั้นแกก็ไปทำเลยสิ ฉันจะไม่ห้ามแกอีกแล้ว รอให้แกกับเธอต้องตายอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็อาจจะต้องถูกกักขังไปชั่วชีวิต อีกทั้งยังต้องมองดูอีกฝ่ายหนึ่งทนทุกข์ลำบากมากกว่าเดิม ถึงเวลานั้น แกจะนึกเสียใจกับการกระทำที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คงสายเกินไปแล้ว”
เฉินเฟิงพูดด้วยความโมโห คิดอยากจะพูดดีๆด้วยแล้ว แต่ว่าเชียนหนิงดูเหมือนฟังอะไรไม่เข้าหูแล้ว
แต่นี่กลับทำให้เชียนหนิงรู้สึกสงบเยือกเย็นลงบ้างแล้ว เขารู้ว่าคำพูดของเฉินเฟิงมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเรื่องจริง ความเจ็บปวดที่ตกตะกอนอยู่ภายใต้ก้นบึ้งของหัวใจนั้น มันช่างห่างไกลกับความเป็นจริงเสียเหลือเกิน
เขากำหมัดไว้แน่น ขบกัดฟันไว้แน่น กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็เกร็งแน่นขึ้น ภายในร่างกายคล้ายกับมีพลังบางอย่างที่รอการปลดปล่อยออกมา แต่ไม่รู้ว่าจะระบายออกมาทางไหนดี
เฉินเฟิงก็รู้สึกเห็นใจในความเจ็บปวดของเขา คิดแล้วก็พูดว่า “นั่งลงก่อนนะ งานนี้ฉันก็จะทุ่มสุดตัวช่วยเลย มันก็แค่พาคนคนหนึ่งหนีไปเท่านั้นเอง เรื่องนี้ฉันพอมีประสบการณ์บ้าง ไม่แน่พวกเราอาจจะคิดแผนการที่ดีออกมาก็ได้นะ”
เมื่อถูกเฉินเฟิงฉุดลากกลับมา เชียนหนิงก็ได้แต่กลับมานั่งที่เดิมของตัวเอง
“ขั้นแรก พวกเราจำเป็นจะต้องรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน แล้วจะมีคนคอยเฝ้าดูอยู่เท่าไหร่ ขั้นต่อมาก็คือเส้นทางหลบหนีที่ต้องวางแผน………”
เมื่อถึงเวลาตอนบ่าย ก็มีแขกเหรื่อทยอยกันเข้ามาร่วมงาน แต่ก็เพียงแค่แขกรับเชิญของตระกูลเล็กๆเท่านั้น พวกตระกูลใหญ่คงไม่ถึงกับต้องมาแต่หัววันเช่นนี้
แต่ภายในงานเลี้ยงของตระกูลเชียนตอนนี้ก็แลดูคึกคักขึ้นมา ไม่ช้าไม่นานนักแขกผู้เข้าร่วมงานต่างก็ได้พบเจอกับเพื่อนฝูงในงานเลี้ยง ต่างก็ทักทายล้อมวงพูดคุยด้วยกัน เพื่อรอเวลาเริ่มงานหมั้นในค่ำคืนนี้
เมื่อถึงเวลากลางคืนประมาณหนึ่งทุ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างก็แทบจะเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว คนใหญ่คนโตพวกตระกูลใหญ่นั้นต่างเริ่มทยอยปรากฏตัวออกมาให้เห็นกันแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในเมืองหลวง ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลนั้น หัวหน้าครอบครัวต่างก็มาร่วมงานด้วยตัวเองหรือไม่ก็ส่งลูกชายคนโตของตระกูลเป็นตัวแทนมาร่วมงานด้วย
นอกจากตระกูลสูงศักดิ์พวกนี้แล้ว ก็ยังมีพวกนักธุรกิจใหญ่โต หรือไม่ก็ผู้หลักผู้ใหญ่จากทางการรัฐบาล รวมไปถึงพวกที่ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์กับตระกูลเชียนในแถบทางตะวันตกเฉียงใต้แล้ว ก็ยังมีพวกผู้คนที่คิดอยากจะมาเกาะแกะกับคนของตระกูลเชียนก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
สำหรับคนอื่นนอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีอีกมากมายนับไม่ถ้วน ก็ไม่แนะนำมากแล้ว
ไม่เพียงแต่เท่านี้ คนที่เป็นจุดเด่นที่สุดภายในงานเลี้ยงก็ย่อมต้องเป็นตระกูลเชียนกับตระกูลอู๋อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลายามเย็น เจ้าบ่าวตระกูลอู๋คนนั้นก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว
อายุประมาณราวยี่สิบต้นๆ หน้าตาหล่อเหลาเอาการ รูปร่างแข็งแรงบึกบึน ส่วนใหญ่คุณชายตระกูลผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายก็มักจะฝึกวรยุทธ์ทั้งนั้น จึงมีรูปร่างที่ไม่ผอมบางเกินไป
แต่งกายในชุดสูทสีขาว ปรากฏอยู่ตรงหน้าผู้คนด้วยท่าทีผ่อนคลาย อีกทั้งยังพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ท่าทางสัมมาคารวะมีมารยาทต่อผู้คน ทำให้ผู้พบเห็นต่างก็รู้สึกชื่นชอบ
ผ่านไปไม่นานนัก ก็สามารถตอบรับคำทักทายจากแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
เฉินเฟิงยืนอยู่อีกมุมหนึ่งไม่ได้เข้าไป เขาเพียงแต่ยืนสังเกตดูอยู่ที่นั่น ส่วนเชียนหนิงก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว
ตอนนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่กำลังครึกครื้น แต่ว่าจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เฉินเฟิงก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องไปช่วยเหลือเชียนหนิง นี่เป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย อีกทั้งอาจจะน่ากลัวกว่าความตายเสียอีก สร้างความขัดแย้งกับตระกูลเชียนและตระกูลอู๋พร้อมกันทีเดียว เขาคงไม่คิดว่าจะอาศัยกำลังอิทธิพลของตัวเองพวกนั้นช่วยทำอะไรได้
กำลังจิบเครื่องดื่มที่รับมาจากบริกรอยู่นั้น ก็มีคนเดินเข้ามาหาเขา
“คุณชายเฉิน นึกไม่ถึงเลยว่าจะพบคุณที่นี่”
เฉินเฟิงได้ยินเสียงรู้สึกคุ้นหูมาก หันหน้ากลับไปมอง ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น
คุณปู่ของหลี่จื่อเยว่ หลังจู่หมาป่าทะเลทรายคนนั้น ซึ่งเป็นคนที่เฉินเฟิงไม่อยากจะพบเจอมากที่สุดคนหนึ่ง
วันนี้เขาแต่งตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยชุดแบบจีนโบราณที่ทำให้เขาแลดูมีสง่าราศีขึ้นมาก เพียงแต่ไม้เท้าหัวมังกรนั้นไม่เคยห่างกายเลย พกพาติดตัวมาด้วยเช่นเดิม
เฉินเฟิงตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งยิ้มให้แล้วพูดว่า “มีวาสนาจริงๆเลยนะ ผมก็นึกไม่ถึงว่าจะมาพบคุณท่านที่นี่เหมือนกัน เพียงแต่จากกันไปก็ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ไม่ทราบว่าร่างกายท่านสบายดีไหม?”
หลี่ชื่อจือก็ยิ้มอย่างจืดชืดแล้วพูดว่า “พึ่งบุญบารมีของคุณชายเฉิน ร่างกายก็ยังสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่ เพียงแต่ว่าได้ฝากเยว่เอ๋อให้คุณช่วยดูแลมาเป็นเวลานานขนาดนั้น กลับยังไม่ได้ขอบคุณคุณชายเลย ถ้าคุณชายเฉินมีเวลาว่าง ก็แวะมานั่งที่บ้านบ้างนะ”
เฉินเฟิงมองไปยังรอยยิ้มบนหน้าหลี่ชื่อจือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น คิดในใจว่าสุนัขจิ้งจอกเฒ่านี้คงยังคิดแค้นอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าคงจะจบไม่สวยสักเท่าไรนัก
แต่ว่าใบหน้าก็ยังแสดงความเกรงใจอยู่ แล้วพูดว่า “ไม่บังอาจรบกวนหรอกครับ”
ทั้งสองคนต่างเสแสร้งยิ้มใส่กัน พอดีมีบริกรเดินผ่านมา หลี่ชื่อจือก็หยิบแก้วเหล้ามาแก้วหนึ่ง จึงทำให้สองคนนี้ไม่เคอะเขินมากไปกว่านี้
เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “คุณชายเฉิน ฉันขอคารวะคุณหนึ่งแก้ว รอให้งานมงคลนี้เสร็จสิ้นไปก่อน หลังจากนั้นก็คงมีเวลาอีกมากมาย”
เฉินเฟิงก็ยกแก้วขึ้นมา ทั้งสองคนต่างก็จ้องมองด้วยความระแวง จากนั้นก็จิบเบาๆไปหนึ่งคำ
รอให้หลี่ชื่อจือจากไปแล้ว เฉินเฟิงก็รู้สึกโล่งอก ความรู้สึกที่ถูกหมาป่าจ้องมองจนไม่สบายใจเช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย แต่หลังจากที่รู้ว่าเขาคือหลังจู่คนนั้น ยังมีพวกลูกน้องที่เป็นฝูงหมาป่าฆ่าคนในมืออีกจำนวนมาก ในใจเขาก็ย่อมรู้สึกสั่นสะท้านกลัวเป็นธรรมดา
เมื่อดื่มเหล้าจนหมดแก้วแล้ววางแก้วเหล้าลง เฉินเฟิงก็เดินออกจากที่นี่ไป
ส่วนตอนนี้ภายในบ้าน กลับมีคนสีหน้าท่าทางกระวนกระวาย
เชียนหนิงยืนอยู่ประตูหน้าห้อง หญิงสาวที่กำลังบรรจงแต่งตัวอยู่ภายในห้องนั่นก็คือนางเอกในค่ำคืนนี้
เมื่อรอจนกระทั่งเด็กสาวสองคนจากไปแล้ว เชียนหนิงจึงเดินเข้าไป
ในห้องแต่งตัวก็เหลือแต่เชียนหนิงและเจ้าสาวเท่านั้น
เจ้าสาวก็นึกไม่ถึงว่าเชียนหนิงจะกลับมาที่นี่ มองหน้าเชียนหนิงอย่างตกตะลึง แล้วพูดว่า “คุณมาได้ยังไงคะ?”
เชียนหนิงพูดว่า “ฉันอยากจะพาคุณออกไปจากที่นี่”
คำพูดของเขาสงบนิ่งมาก เรียบเฉยจนดูเหมือนกับกำลังพูดเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง ราวกับพูดว่ากินข้าวแล้ว วันนี้อากาศดีจังประมาณนั้น
เจ้าสาวคิดว่าตัวเองฟังผิดไป มองไปยังเชียนหนิงด้วยความฉงน หลังจากตกใจได้สองวินาทีจึงพูดขึ้นว่า “คุณบ้าไปแล้ว อยู่ในที่นี่พูดเรื่องอะไรแบบนี้”
เชียนหนิงยังคงพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ฉันไม่ได้บ้า ฉันจะมาพาคุณหนีไป”
“คุณกลับไปเถอะ ฉันจะถือว่าคุณไม่เคยมาที่นี่ก็แล้วกัน”
หญิงสาวก็พูดจริงจังขึ้นมา เธอเชื่อว่าเชียนหนิงจะทำเช่นนั้นแน่นอน แต่เธอรู้ตัวดีว่าไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ตัวเองก็ไม่ยอมหนีไปกับเชียนหนิงอย่างเด็ดขาด