นี่ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ว่าความหวังนั้นกลับริบหลี่อย่างมาก เพราะหากไม่มีพี่น้องตระกูลฉาง บางทีความหวังนี้ก็คงจะไม่มีด้วยซ้ำ
แต่ทางด้านเชียนชิวที่กำลังมองดูเฉินเฟิงครุ่นคิด ก็ฉุกคิดเรื่องของพี่น้องตระกูลฉางขึ้นมาได้ เขาจึงกล่าวถาม : “คุณยังมีเรื่องอะไรที่อยากถามอีกหรือเปล่า ?”
ทันทีที่เห็นเฉินเฟิงส่ายหน้า เขาจึงรีบถามอีกครั้งอย่างรีบร้อน : “อย่างนั้นตามที่คุณเคยบอกเอาไว้ ตอนนี้ถึงคราวที่คุณจะต้องบอกผมเรื่องความสัมพันธ์ของคุณและพวกเธอแล้ว”
เฉินเฟิงครุ่นคิดแล้วเรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับพี่น้องตระกุลฉางอยู่แล้ว จึงละเว้นเรื่องนี้เอาไว้ก่อน จากนั้นก็หันไปยิ้มใส่เชียนชิว : “ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นไม่ธรรมดา”
“แล้วมันไม่ธรรมดายังไง คงจะไม่ใช่ว่าคุณกับพวกเธอเป็น ……” เชียนชิวมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความอึ้ง
แต่ว่าเฉินเฟิงกลับไม่พูดอะไร เพียงแต่กระตุกรอยยิ้มออกมา ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่แอบแฝงไปด้วยความหมายมากมาย
ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินจากไป
และหลังจากครั้งนั้นสายตาของเชียนชิวที่มองไปยังพี่น้องตระกูลฉางก็เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด เขาไม่ได้มีความกระตือรือร้นดังเช่นเคย อีกทั้งบางครั้งก็เหมือนจะพยายามหลบสายตาอีกด้วย
และสิ่งนี้ทำให้พวกเธอสองพี่น้องรู้สึกแปลกใจอย่างมาก แต่ว่าทางด้านหลงหลินไม่คิดที่จะไปสักถามอะไรอยู่แล้ว จะมีก็แต่เฟิ่งซีที่หันมาถามเฉินเฟิงด้วยความสงสัย : “ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคนแบบนั้น คุณไปทำอะไรเขาใช่หรือเปล่า ?”
เฉินเฟิงยิ้มแห้งออกมา: “ผมจะไปรู้ได้อย่างไร เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วย ผมไม่ใช่พยาธิในกระเพาะเขาสักหน่อย”
ทว่าเฟิ่งซีกลับไม่เชื่อ: “ที่นี่ก็มีแต่คุณเท่านั้นที่จะทำอะไรเขาได้ ไม่ใช่คุณ แสดงว่าเป็นพวกเราสองคนงั้นสิ !พูด บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้”
แต่แน่นอนว่าเฉินเฟิงไม่กล้าบอกเรื่องที่ตัวเองไปหลอกเชียนชิวกับเธออยู่แล้ว
และเป็นเพราะสีหน้าของนายท่านเชียนที่ดีขึ้นอย่างมาก จึงทำให้ทุกคนในตระกูลเชียนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ราวกับได้เห็นนายท่านตื่นขึ้นมาแล้วอย่างนั้น
วันนี้เชียนสวนยี่เข้ามาเยี่ยมดูพวกเขาโดยเฉพาะ พร้อมกับกล่าวพูดแสดงความห่วงใยไม่กี่ประโยค ก่อนจะขอตัวลาไปอีกครั้ง
หลังจากที่เขาจากไป เฟิ่งซีก็เดินเข้าไปนั่งยังม้านั่งหินภายในลานบ้านด้วยความเบื่อหน่าย
เฉินเฟิงมุ่งหน้าเข้าไปหาเธอพลางชวนคุย: “น่าเบื่อมากหรือไง?พี่สาวของคุณทำงานหนักขนาดนั้น ทำไมคุณถึงไม่เรียนรู้อะไรจากเธอบ้างล่ะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นการเดินทางออกมาด้านนอก แต่หลงหลินมักจะนำเอาทักษะการแพทย์ของตัวเองติดตัวมาด้วยเสมอ ส่วนในเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเธอและเฉินเฟิงก็ดูเหมือนจะถูกปล่อยผ่านไปเสียแบบนี้ เพราะในเมื่อหลงหลินไม่พูด ทางด้านเฉินเฟิงเองก็ยิ่งไม่กล้าที่จะไปพูดอะไร และแบบนั้นจึงทำให้ระหว่างทั้งสองเหมือนมีอะไรบางอย่างมาขวางกั้นเอาไว้ พร้อมทั้งยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองดูห่างไกลออกไปเรื่อยๆอีกด้วย
เฟิ่งซีตอบกลับอย่างเบื่อหน่าย: “ในเมื่อมีพี่สาวคอยดูแลอยู่แล้ว ต่อให้ฉันจะดูแลมากแค่ไหน ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีพี่สาวสองร่างเท่านั้น ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี”
เฉินเฟิงที่ฟังเธอพูดก็พลันนึกขึ้นมาว่าหากมีหลงหลินสองคนในเวลาเดียวกัน อย่างนั้นในช่วงฤดูร้อนคงไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศแล้ว แค่ตามติดพวกเธอก็พอแล้ว
เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: “คุณพูดแบบนี้ก็เพราะต้องการหาเหตุผลไว้อู้งานมากกว่า”
เฟิ่งซีเองก็ยิ้มออกมา: “ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าพี่สาวดีหรือว่าฉันดีกว่า?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นคุณอยู่แล้ว นิสัยก็ดีมากๆ ด้วย” เฉินเฟิงที่ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรก็ตอบออกมาทันที เพราะว่านี่ถือเป็นคำถามมาตรฐาน และมันไม่มีคำตอบอื่นอยู่แล้ว
แต่สีหน้าของเฟิ่งซีกลับหมองลง: “คุณไม่แม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ แสดงว่ากำลังหลอกฉันอยู่แน่นอน เป็นคนโกหกอยู่วันยังค่ำ ไม่มีความจริงใจเลยสักนิด”
เฉินเฟิงจึงได้เพียงตอบกลับอย่างเอือมระอา: “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิด ผมก็สามารถตอบออกมาได้เร็วแบบนี้อยู่แล้ว”
เฟิ่งซีถามด้วยความสงสัย: “เป็นอย่างนั้นจริงหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ!ไม่อย่างนั้นหากผมใช้เวลาคิดนานกว่าจะตอบ คุณก็จะว่าผมอยู่ดี”
เฟิ่งซียิ้มออกมาราวกับว่าบางทีอาจจะเป็นอย่างที่เฉินเฟิงพูดแบบนั้นจริง
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ด้านนอกป่าไผ่ก็มีสายลมพัดผ่าน ส่งเสียง” ซู่ซ่า” ดังขึ้นมา
ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เฉินเฟิงกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นความรู้สึกถึงอันตรายตามสัญชาตญาณ
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะวางใจ แสงประกายแวบหนึ่งก็พุ่งเข้ามาทางเฟิ่งซี
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบดึงตัวเฟิ่งซีไปอยู่ด้านหลังของเขา เพื่อช่วยบังปลายดาบนั้นแทนเธอ
ปลายดาบนั้นถอยหลังออกไปหลายก้าว จึงทำให้เฉินเฟิงสามารถมองเห็นเขาคนนั้นได้อย่างชัดเจน
ชายคนนั้นเป็นคนร่างเตี้ย สวมชุดสีดำทั้งตัว พร้อมกับถือดาบยาวหนึ่งเล่มไว้ในมือ ทว่าใบหน้านั้นเป็นคนที่เฉินเฟิงไม่เคยเจอมาก่อน
แล้วเหตุใดเขาถึงต้องการลอบฆ่าเฟิ่งซีด้วย เพียงแค่ครู่เดียวเฉินเฟิงก็เข้าใจขึ้นมา
นั่นเป็นเพราะว่าเขาเพียงแค่ไม่ต้องการให้นายท่านเชียนฟื้นขึ้นมาก็เท่านั้น
แต่ยังไม่ทันที่เฉินเฟิงจะได้วิเคราะห์อะไรเพิ่มเติม ดาบเล่มนั้นก็โฉบฉวยไปเข้ามาราวกับงูพิษ เดิมทียังมีความน่าเกรงขามอย่างมาก แต่เมื่อดาบยาวนั้นที่อยู่ในมือของชายร่างเตี้ยก็กลับกลายเป็นสิ่งที่น่าสยดสยอง
เพราะดาบแล้วดาบเล่าที่พุ่งเข้า ล้วนพยายามจะแทงฟันไปยังจุดสำคัญบนร่างกาย และหัวใจ
ซึ่งการโจมตีนั้นมีความคล้ายคลึงกับหนูในท่อที่คอยสร้างความน่ารำคาญใจให้กับผู้คน แต่กลับไม่มีวิธีการกำจัดมันออกไปได้สักที
โดยเฉินเฟิงก็ได้เพียงแต่พยายามในการสกัดการโจมตีเหล่านั้น ทั้งยังไม่มีความคิดที่จะไปโจมตีอีกฝ่ายกลับเลย ดังนั้นจึงทำให้ตอนนี้อีกฝ่ายไม่สามารถเอาเปรียบเขาได้เลย
เฟิ่งซีได้แต่มองดูด้วยกังวลใจ ทว่าเป็นเพราะว่าเธอไม่มีความรู้วิชาต่อสู้ใดๆ เลย ดังนั้นเมื่อถูกเฉินเฟิงผลักให้ถอยหลังไป เธอก็ยังทำได้เพียงแค่หลบอยู่อีกด้านคอยจับตาดูเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงเป็นกังวลในตัวเฉินเฟิงอย่างมาก
แต่ในขณะที่เฉินเฟิงกำลังต่อสู้กับเขาคนนั้นอยู่นั้น ภายในห้องของหลงหลินก็มีเสียงดังทะลุออกมา ราวกับว่าหลงหลินกำลังร้องเจ็บปวดอย่างนั้น
เฟิ่งซีที่ได้ยินเสียงก็ไม่กล้าที่ชะล่าใจอยู่ต่อ จึงรีบวิ่งเข้าไปยังห้องของหลงหลิน
ส่วนเฉินเฟิงที่ได้ยินเสียงนั้นในเวลาเดียวกัน แต่ว่ายังไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้สักที ในใจของเฉินเฟิงก็ร้อนรนมากขึ้น
ใจเขาตื่นตระหนก พร้อมกับไม่มั่นใจว่าที่เฟิ่งซีเคยบอกว่าอาการเจ็บปวดภายหลังนั้นของเขาสามารถหายได้เร็วมากขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ก่อนที่เขาจะตัดสินใจดึงเอาวิธีย้อนพลังเพื่อเสริมกำลังออกมาใช้โดยตรง ทันใดนั้นทั้งความเร็วและความแข็งแกร่งก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นพลังสังหารขึ้นมา
ซึ่งในตอนนั้นชายที่เป็นเหมือนหนูพุ่งทะยานเข้ามาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้เบามือเหมือนตอนแรกเริ่มอีกแล้ว เฉินเฟิงแทบจะไม่ให้โอหาสให้เขาได้ถอยหลังไปตั้งหลักเลยแม้แต่น้อย และในทุกครั้งที่เข้าใกล้เขาเฉินเฟิงก็พยายามที่จะฉีกเนื้อเขาออกเป็นชิ้นๆ
เมื่อผ่านไปเพียงไม่กี่กระบวนท่า ใบหน้าของชายร่างเตี้ยคนนั้นก็ไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกเลย อีกทั้งบนร่างกายก็เหมือนจะไม่เหลือส่วนไหนที่มีภาพสมบูรณ์อีก
จนกระทั่งเขาตายไป เฉินเฟิงถึงค่อยยอมปล่อยตัวเขา แต่ในระหว่างการต่อสู้เมื่อสักครู่นั้นกลับใช้เวลาเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น แต่ก็มากพอที่จะสามารถทำเรื่องมากมายได้ อย่างเช่นการฆ่าคนหนึ่งคน
ในขณะเดียวกันเฉินเฟิงก็ได้กลิ่นเลือดโฉยออกมา เขาจึงรีบวิ่งทะยานเข้าไปในห้องหลงหลิน ปรากฏว่าตอนนี้หลงหลินได้ฟุบลงไปกับพื้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนเฟิ่งซีก็กำลังถูกเขาคนนั้นกดไว้กับพื้น
เฉินเฟิงวิ่งเข้าไปหาชายที่มีมีดอยู่ในมือคนนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ และหลังจากการใช้วิธีย้อนพลังเพื่อเสริมกำลัง ชายคนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินเฟิงอีกต่อไป
แล้วเกิดโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายแบบเดียวกันนั้นก็ได้เกิดขึ้นกับชายคนนี้อีกครั้ง พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
เฟิ่งซีที่เห็นอย่างนั้นเกิดรู้สึกกลัวอย่างมาก เธอไม่เคยได้เห็นด้านมืดที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ของเฉินเฟิงมาก่อน เขาเป็นเหมือนกับปีศาจตนหนึ่ง ปีศาจที่กระหายเลือดและโหดเหี้ยม
ซึ่งในตอนนี้ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นก็กำลังจ้องมองมาที่เธอ เธอคิดเลยว่าตัวเองคงจะต้องถูกเฉินเฟิงฆ่าตายแน่นอน ความหวาดกลัวนั้นทำให้เธอไม่กล้าที่จะกรีดร้องออกมาเลย
เวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากเย็นที่สุดในการควบคุมตัวเองของเฉินเฟิง และการฆ่าก็คือทุกอย่างของเขา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางควบคุมมันได้เลย ซึ่งในตอนนั้นเองที่เฉินเฟิงหันมาตะโกนใส่เฟิ่งซี: “รีบไปซะ รีบออกไปจากตรงนี้เร็วเข้า”
ทว่าสภาพของเฟิ่งซีในตอนนี้แค่จะลุกขึ้นยืนยังนับว่าเป็นเรื่องยากลำบากอย่างมาก
“ผมไม่รู้ว่าจะควบคุมได้อีกนานแค่ไหน คุณรีบไปเร็วเข้า ตอนนี้ผมไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว” เฉินเฟิงตะโกนออกมาอีกครั้ง
ในที่สุดเฟิ่งซีก็รู้ตัวว่าตัวเองจะต้องลุกขึ้นยืนเสียที เธอพยุงตัวเองจากการเกาะกำแพงที่อยู่ข้างๆ พร้อมกับพยายามอย่างลำบากกว่าจะลุกขึ้นมาได้
ทั้งที่เฉินเฟิงที่อยู่ตรงนั้นดูเหมือนจะเจ็บปวดทรมานอย่างมาก แต่เฟิ่งซีก็ไม่กล้าเข้าไปดู