ชายที่ชื่อว่าไป๋เฉิงหลินพยักหน้ารับ : “ครับ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
แล้วสำหรับเรื่องการตัดสินใจจัดการกับหมาป่าทะเลทรายก็สิ้นสุดลงเท่านี้ แต่ยังมีข้อวิพากษ์หลายอย่างที่จะเป็นต้องไตร่ตรองอย่างละเอียด อย่างเช่นว่าจะเลือกตระกูลใดเข้าร่วม ติดต่อด้วยรูปแบบใด และจะทำอย่างไรถึงจะทำให้อีกฝ่ายไม่ทำให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากวางหมากพลาดไปเพียงตัวเดียว ทั้งกระดานนั้นอาจจะล่มก็เป็นได้
และเหตุผลเหล่านี้พวกเขาทุกคนล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ทันได้รู้ตัวเวลาว่าผ่านไปนานมากแล้ว
จนเฉินเฟิงรู้สึกว่าเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะเรื่องหลังจากนี้คงต้องรอให้เริ่มดำเนินการแล้วถึงค่อยเพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่างเสริมเข้าไป
และชาต้าหงเผาถ้วยนั้นของเขาก็ได้มีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในระหว่างการสนทนา จนกระทั่งเฉินเฟิงยกถ้วยชานั้นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะดื่มจนหมด แล้วเขาจึงลุกขึ้นยืนพลางหันไปพูดกับคนตระกูลทำความเข้าใจ : “วันนี้พอเท่านี้ก่อนแล้วกันครับ รอให้ถึงเวลาเริ่มดำเนินแผนการ ผมจะติดต่อไปหายันเจียงอีกทีดูว่ามีจุดไหนที่เขาพอจะช่วยเหลือได้บ้าง”
พวกเขาตระกูลไป๋ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวคำขอบคุณ: “อย่างนั้นคงต้องขอบคุณคุณชายเฉินแล้ว ถ้าหากว่าได้การช่วยเหลือจากคุณชายเฉิน ทะเลทรายแห่งนี้ก็คงจะมีโอกาสมากขึ้น”
เฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น
เมื่อกลับมาถึงหุบเขา เฉินเฟิงก็โทรศัพท์ติดต่อไปยังยันเจียง
“ผมอยากจะลงมือจัดการกับหมาป่าฝูงหนึ่งในทะเลทราย คุณพอจะมีวิธีการจัดการอย่างไรบ้าง ?” เฉินเฟิงถามออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม
แต่เสียงปลายสายกลับตอบด้วยน้ำเสียงที่ลังเล
“คุณชายเฉิน ดีที่สุดคืออย่าทำเรื่องนี้เลย”
เมื่อว่าตามความเข้าใจของเฉินเฟิงที่มีต่ออีกฝ่ายนั้น ตัวเขารู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะลงมือจัดการ แต่เขาก็ไม่น่าจะปฏิเสธออกมาโดยตรงแบบนี้ และสิ่งนี้ทำให้เฉินเฟิงรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าอย่างมีเรื่องบางอย่างที่ตัวเขานั้นยังไม่รู้อีกใช่หรือไม่
เขาถามกลับด้วยเสียงที่เรียบเฉย: “เพราะอะไร?”
“เท่าที่เดาหมาป่าฝูงนั้นคงจะหมายถึงฝูงหมาป่าทะเลทรายในทะเลทรายนั้นสินะครับ !ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าทำไมคุณชายเฉินถึงอยากจะจัดการกับหมาป่าทะเลทราย แต่ผมคิดว่าคุณชายเฉินคงจะยังไม่เคยทำความเข้าใจพวกเขาอย่างละเอียดเลย ”
“ใช่พวกเขา” เฉินเฟิงตอบกลับ “ถึงอย่างนั้นในเมื่อผมคิดที่จะต่อกรกับพวกเขา แน่นอนว่าผมนั้นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับพวกเขา แต่ฟังจากที่คุณพูดแล้ว พวกเขายังมีความลับอื่นอีกงั้นหรอ ?”
แล้วเสียงจากปลายสายก็หัวเราะออกมาเบาๆ : “คุณชายเฉิน เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดเอาไว้หรอกนะครับ”
“อ๋อ?”
“หมาป่าทะเลทรายหากเป็นเพียงแค่หมาป่าทะเลทรายคนเดียว ก็คงไม่ได้มีความยุ่งยากอะไรขนาดนั้น แต่ว่าคุณชายเฉิน คุณรู้สาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นตระกูลใหญ่อันดับสองในทะเลทรายแห่งนี้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ นี้หรือเปล่า ?”
“นั่นไม่ใช่เพราะว่ารูปแบบในการกระทำของพวกเขาหรอกหรอ?ความโหดเหี้ยมที่ไม่เกรงกลัวความตายแบบนั้น ผมคิดว่าคงไม่มีตระกูลไหนกล้าที่จะเผชิญหน้าต่อต้านพวกเขาแน่นอน ” เฉินเฟิงไตร่ตรองก่อนจะพูดการคาดเดาของตัวเองออกมา
แต่ปลายสายนั้นกลับแย้งกลับทันที: “นั่นเป็นเพียงแค่สาเหตุหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งนี้ไม่สามารถทำให้พวกเขาสามารถเติบโตด้วยความรวดเร็วขนาดนั้นได้ เหมือนกับหมาป่าทะเลทรายจริงๆนั่นแหละครับ ถึงจะอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายอันทุรกันดารแบบนั้นแต่ก็ไม่เคยมีความขาดแคลนเลย จนเวลาหลายปีผ่านไปก็มีเพียงแค่หมาป่าทะเลทรายเท่านั้นที่ออกมาจากทะเลทรายจริงๆ ”
นั่นยิ่งทำให้เฉินเฟิงสงสัยมากขึ้น เขาจึงถามอีกครั้ง: “นั่นเป็นเพราะว่าอะไร?”
“คุณชายเฉิน คุณเคยคิดหรือเปล่าว่ามีคนกำลังจัดฉากสร้างเรื่องในทะเลทรายอยู่ ”
“จัดฉาก?” เฉินเฟิงคิด: “ใช้หมาป่าทะเลทรายในการจัดฉาก อย่างนั้นต้องมีกำลังอำนาจมากขนาดไหนเชียวถึงจะสามารถจัดฉากสร้างเรื่องได้ใหญ่โตแบบนี้ ?นี่เป็นการปล่อยข่าวเขย่าขวัญคนอื่นเกินไปแล้วมั้ง”
เขาคนนั้นหัวเราะ: “แต่คุณชายเฉิน ผมกลับได้รับข่าวมาแล้วว่าเบื้องหลังนั้นมีคนต้องการใช้หมาป่าทะเลทรายมาต่อกรกับตระกูลเชียนหน่ะสิ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเขานั้นเป็นใครกันแน่ แต่พวกเขาจะต้องเป็นตระกูลใดตระกูลหนึ่งในยันเจียงแน่นอน ”
เฉินเฟิงถึงกับตะลึงงัน เขาไม่กล้าที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้เลย
ทางด้านเสี่ยวเย่ที่ยืนอยู่ในห้องรับแขกก็แอบมองดูเฉินเฟิงที่กำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกราวกับว่ากำลังมีเรื่องบางอย่าง
เมื่อรู้ว่าเบื้องลึกของหมาป่าทะเลทรายนั้นยังมีบางอย่างซ่อนอยู่ เฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยั้งคิดขึ้นมา จากนั้นเขาจึงวางสายไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
แต่เมื่อเขาได้เห็นเสี่ยวเย่ เขาก็ถามไปด้วยความแปลกใจ: “มีอะไรหรือเปล่า?”
เสี่ยวเย่ตอบกลับด้วยความกังวลใจ: “คุณชายเฉิน ได้เวลาทานอาหารแล้วค่ะ”
เฉินเฟิงพยักหน้าก่อนจะเดินจากโถงทางเดินเข้ามาด้านใน
เสี่ยวเย่ได้จัดเตรียมอาหารไว้บนโต๊ะตั้งนานแล้ว ดังนั้นเฉินเฟิงเพียงแค่เดินไปยังโต๊ะอาหาร แล้วหยิบเอาถ้วยข้าวที่เสี่ยวเย่ได้ตักเอาไว้ขึ้นมา
“เสี่ยวเย่ กับข้าววันนี้ดูเหมือนจะไม่อร่อยเหมือนกับของเมื่อวานเลยนะ !”
เสี่ยวเย่มองไปยังอาหารที่อยู่บนโต๊ะพร้อมกล่าวตอบด้วยความโกรธเคือง: “เป็นเพราะว่าคุณชายเฉินนั้นจู้จี้จุกจิกเกินไปต่างหากล่ะค่ะ ฉันอุตส่าห์นำเอาอาหารชั้นเลิศที่ฉันถนัดที่สุดออกมาทำจนหมดแล้ว แล้วแบบนั้นจะให้มันอร่อยเหมือนกันทุกวันได้ยังไงกันคะ บางทีก็ต้องลองทานอาหารบ้านๆ ดูบ้าง ”
เฉินเฟิงยิ้มตอบ: “อ๋อ คุณโทษผมแล้วงั้นสิ ผมเป็นถึงเจ้านายของคุณเชียวนะ อันดับแรกเลยคือคุณควรจะคิดพิจารณาตัวเองว่าทำได้ดีแล้วหรือยังถึงจะถูก”
แต่เพราะการได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเฉินเฟิงมาเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน เสี่ยวเย่จึงรู้ถึงนิสัยของเฉินเฟิงดี และเมื่อมองดูสีหน้าเฉินเฟิงปรากฏรอยยิ้มแล้วเธอก็มีความสุขอีกครั้ง ก่อนที่จะกลอกตาใส่เฉินเฟิงอย่างไม่เกรงใจ พร้อมกับตอบกลับอย่างขอไปที: “ค่ะ เสี่ยวเย่เข้าใจแล้วค่ะ เสี่ยวเย่จะไปคิดทบทวนตัวเอง ครั้งต่อไปจะจัดเตรียมอาหารชุดใหญ่ให้กับคุณชายเฉินเลยค่ะ ”
เมื่อพูดจบเธอก็นั่งลงอีกฝั่งก่อนจะทานอาหารพร้อมกัน
เฉินเฟิงที่รู้ตัวไม่สามารถหลอกให้เธอตกใจได้อีกแล้ว จึงรู้สึกหมดความสนุก จากนั้นก็กลับมาย้อนคิดถึงเรื่องของหมาป่าทะเลทรายอีกครั้ง
หลายวันผ่านไป เฉินเฟิงยังคงเอาแต่ครุ่นคิดว่าควรจะบอกเรื่องเบื้องหลังของหมาป่าทะเลทรายออกไปหรือไม่ แต่ในขณะที่เขากำลังลังเลใจอยู่นั้น ไป๋ซิงก็กลับมาหาเฉินเฟิงอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงกำลังนั่งกินผลไม้อยู่ใต้ต้นไม้ ไป๋ซิงจึงเดินตรงเข้าไปหาทันที
เขาดูเหมือนมีความสุขอย่างมาก คงจะเป็นเพราะว่าแผนการก่อนหน้าน่าจะมีความคืบหน้าขึ้นมาแล้ว
“ถ้าหากไม่รู้ว่าคุณเคยแต่งงานมาแล้ว ผมคงจะคิดว่าคุณกำลังเตรียมตัวจะเป็นเจ้าบ่าวแล้ว ” เฉินเฟิงพูดหยอกล้อขึ้นมา
ไป๋ซิงชะงักอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยเข้าใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงไม่ลดลงไปเลย : “ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ แถมยังเป็นเรื่องน่ายินดีมากๆเลยด้วย ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?อย่าบอกนะว่าพวกคุณได้เจรจากับตระกูลหนึ่งได้แล้ว?”
ไป๋ซิงมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจ: “คุณชายเฉิน คุณรู้ได้ยังไงกัน มีคนมาแจ้งข่าวกับคุณล่วงหน้าแล้วงั้นหรอ ?”
เฉินเฟิงหยิบเอาแอปเปิลลูกหนึ่งที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาโยนใส่มือของไป๋ซิง: “ เรื่องแค่นี้ยังต้องให้คนอื่นบอกอีกงั้นหรอ แค่ดูจากท่าทางของคุณก็พอจะรู้แล้วล่ะ พูดมาเถอะ สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
ไป๋ซิงรับแอปเปิลลูกนั้นไว้พร้อมกับกัดกินเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงที่อู้อี้ : “สำเร็จแล้ว เมื่อวานนี้สำเร็จแล้ว”
เขากลืนเนื้อแอปเปิลลงคอ แต่เฉินเฟิงกลับตอบด้วยเสียงที่ไม่สบอารมณ์ : “อะไรสำเร็จแล้วล่ะ คุณพูดแบบนี้ใครจะไปเข้าใจกัน ”
ไป๋ซิงนั่งลงข้างๆ เฉินเฟิงก่อนจะพูดอย่างช้า: “คุณชายเฉิน วันนั้นพวกเราตกลงกันว่าจะต้องติดต่อไปยังตระกูลที่ได้รับการข่มเหงจากหมาป่าทะเลทรายใช่หรือเปล่า ?”
เฉินเฟิงพยักหน้า: “พวกคุณติดต่อได้แล้ว?”
ไป๋ซิงยิ้มรับ: “ยิ่งกว่าติดต่อได้แล้วเสียอีก ในตอนนั้นพวกเราแค่บอกใบ้บางอย่างกับตระกูลโจวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาก็ดูจะร้อนรนมากกว่าพวกเราเสียอีก ทั้งยังบอกกับพวกเราอีกว่าขอเพียงพวกเรายอมลงมือต่อกรกับหมาป่าทะเลทราย พวกเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนเราอย่างเต็มกำลัง จะให้ทำอะไรพวกเขาก็ยอมทั้งนั้น ”
เฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ดูท่าแล้วหมาป่าทะเลทรายจะสร้างเรื่องน่าโกรธเคืองในทะเลทรายแห่งนี้มานานมากแล้ว
แต่เขายังคงสับสนว่าควรจะบอกเรื่องเกี่ยวกับอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของหมาป่าทะเลทรายกับไป๋ซิงดีหรือไม่
และหลังจากที่ไป๋ซิงกินแอปเปิลจนหมด เขาก็เกิดสงสัยขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าของเฉินเฟิงที่ดูเหมือนจะไม่ได้ดีใจกับเรื่องนี้เลย
“คุณชายเฉิน มีปัญหาอะไรอื่นงั้นหรอ?”