แต่โจวฟ่างกลับพูดดูถูก: “จื่อเอ๋อยังเด็กมากนัก หมาป่าทะเลทรายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปหรอกนะ”
โจวจื่อเอ๋อยิ้มจางๆ : “สิ่งที่ลุงสี่พูดนั้น จื่อเอ๋อเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ว่าพวกเรายังมีตระกูลไป๋ด้วยไม่ใช่หรอคะ ?ซึ่งจื่อเอ๋อเองก็คิดว่าเรื่องนี้ตระกูลไป๋เองก็รู้ดีเหมือนกัน ถ้าหากพวกเขามาเพื่อแค่จะติดต่อกับพวกเราแค่นี้เท่านั้น อย่างนั้นก็คงจะข่มขู่อะไรหมาป่าทะเลทรายไม่ได้หรอกค่ะ ”
โจวสุนคิดตามคำพูดของโจวจื่อเอ๋อ พลางพูดต่อ : “จื่อเอ๋อคิดว่าตระกูลไป๋นั้นมีการวางแผนการใหญ่เอาไว้แล้ว แถมยังสามารถที่จะถอนรากถอนโคนหมาป่าทะเลทรายได้ด้วยงั้นสินะ ”
โจวจื่อเอ๋อพยักหน้ารับเบาๆ
แต่ลุงสามกลับขมวดคิ้วขึ้นมา: “ถ้าหากเป็นอย่างที่ว่า อย่างนั้นพวกเราก็ยิ่งต้องมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น ตระกูลไป๋ต้องการที่จะทำลายล้างหมาป่าทะเลทราย ซึ่งความแค้นของพวกเขาที่มีต่อหมาป่าทะเลทรายนั้นก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยด้วย และเพื่อเรื่องนี้แล้วพวกเขาอาจจะทำเรื่องบ้าคลั่งที่เกินจะรับมือได้แน่นอน”
ทางด้านโจวฟ่างที่กำลังคิดว่าสิ่งที่โจวจื่อเอ๋อพูดนั้นมีเหตุผลอย่างมาก เพราะถ้าหากสามารถทำลายล้างหมาป่าทะเลทรายได้ เช่นนั้นเขาก็เต็มใจอย่างมากที่จะทำ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของลุงสาม จากที่มีความเห็นต่างกับเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เขาจึงยิ่งเกิดความไม่พอใจมากขึ้นไปอีก จึงพูดแทรกขึ้นมา: “ถ้าหากว่าตามความหมายของลุงสาม อย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องเข้าร่วมแผนการนี้ แล้วไปหาที่หลบซ่อนตัวแทน แบบนั้นถึงจะเป็นการดี และพวกเราก็จะได้ไม่ต้องมีปัญหาอะไรอีกด้วย ”
“ผมไม่กล้าที่จะส่งตระกูลโจวไว้ในมือคนอย่างคุณหรอกนะ อย่างน้อยผมก็ทำเพื่อหาทางให้ตระกูลโจวของเรามีชีวิตต่อไปได้อย่างไร ในขณะที่ตัวคุณนั้นกำลังหาทางให้ตระกูลโจวไปตายอย่างไร ” ลุงสามกล่าวเยาะเย้ยกลับ
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนกำลังทะเลาะกัน โจวจื่อเอ๋อจึงได้เพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ เธอรู้ตัวดีว่าเธอเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการจัดการปัญหาของตระกูลโจวเท่านั้น ในขณะที่ผู้จัดการดูแลตระกูลโจวตัวจริงคือพวกเขาเหล่านี้
โจวสุนตะเบ็งเสียงขึ้นมา: “พอได้แล้ว”
เดิมทีโจวฟ่างกำลังคิดจะพูดแย้ง เมื่อได้ยินแบบนี้จึงได้เพียงขวางตามองไปยังลุงสามอย่างเดือดดาลเท่านั้น พร้อมกับหุบปากลง เพราะอย่างไรเสียตัวเขายังมีความนับถือในตัวผู้นำครอบครัวอยู่
“ผมเข้าใจดีว่าพวกคุณทั้งหลายมีความคิดกันอย่างไร แต่ครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสที่ดีทีเดียว ”
เขาหันไปมองลุงสาม: “ลุงสาม ตัวผมรู้ดีเช่นกันว่าคุณหวังดีกับตระกูลโจวของเรา แต่ถ้าอยากจะต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายแต่ไม่ยอมเสียสละอะไรเลย อย่างนั้นคงจะไม่ได้ ”
“ผมไม่ได้……” ลุงสามที่อยากจะอธิบาย แต่กลับโดนโจวสุนขัดเอาไว้เสียก่อน
“ผมไม่ได้จะตำหนิอะไรกับความคิดของลุงสามหรอกครับ ขอเพียงพวกเรามีการเตรียมใจที่จะเสียสละ การบอกว่าตระกูลไป๋จะทำเรื่องบ้าคลั่ง ในขณะที่ความจริงพวกเราเองก็บ้าคลั่งไม่แพ้กันด้วยซ้ำ อีกอย่างทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่หมาป่าทะเลทรายมอบให้พวกเราเอง”
เมื่อเขาพูดจบ บรรยากาศรอบๆ ก็นิ่งเงียบลงทันที
“เดิมทีพวกเรามาที่นี่ก็เพียงแค่ลองปรึกษากันดูก่อนเท่านั้น อย่างไรเสียอีกไม่กี่วันตระกูลไป๋ก็จะมาที่นี่อยู่แล้ว ในส่วนที่ว่าพวกเขามีแผนการอะไรกันแน่นั้น พวกเราก็จะได้รู้เอง เพราะอย่างนั้นวันนี้ก็พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน ”
ทันทีที่เขาพูดจบ ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่นั้นก็พากันลุกขึ้น
แต่โจวสุนกลับเรียกโจวจื่อเอ๋อเอาไว้เสียก่อน: “จื่อเอ๋ออยู่ก่อนครู่หนึ่ง ลุงมีเรื่องที่จะคุยด้วย”
โจวจื่อเอ๋อจึงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน กระโปรงยาวและพื้น เธอสวมชุดกระโปรงยาวคลุมข้อสีเหลืองอ่อนที่ประดับด้วยดอกไม้เล็กๆ สีขาว ดูแล้วมีความสง่าอย่างมาก
รอจนกระทั่งทั้งสามคนออกไป โจวสุนจึงค่อยเอ๋อปากพูดขึ้นมา : “จื่อเอ๋อ ปีนี้เธออายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วสินะ ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ โจวเอ๋อถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เธอพยายามอย่างเต็มที่ในการแสดงศักยภาพของตัวเองให้ตระกูลโจวได้เห็นมาโดยตลอด ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่เธอจะได้เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายตัวเองจะต้องเจอเรื่องแบบนี้
ถึงแม้ภายในใจจะเต้นหนักแค่ไหน แต่ใบหน้ากลับยังแสดงท่าทีเรียบเฉยออกมา: “เรียนคุณลุง ปีนี้จื่อเอ๋ออายุยี่สิบสี่ปีแล้วค่ะ เดือนที่แล้วเพิ่งจะผ่านวันคล้ายวันเกิดมา ”
โจวสุนถอนหายใจออกมา: “ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กเล็กในวันนั้นจะโตขนาดนี้แล้ว ”
โจวจื่อเอ๋อที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยายามปั้นรอยยิ้มออกมา: “เป็นเพราะว่าคุณลุงงานยุ่งเกินไป ถึงจำอายุของจื่อเอ๋อไม่ได้ ”
โจวสุนพยักหน้า: “ก็จริงอยู่ที่งานยุ่งไปบ้าง เพราะหลายปีมานี้ตระกูลโจวของเราต้องคอยต่อสู้ดิ้นรนมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องชื่นชมในความสามารถของจื่อเอ๋อ ถึงได้ทำให้ตระกูลโจวของเราสามารถฟื้นฟูกิจการใหญ่ขึ้นมาได้แบบนี้”
“จื่อเอ๋อไม่กล้ารับคำชมหรอกค่ะ ทุกอย่างเป็นเพราะว่าคนตระกูลโจวนั้นสามัคคีกันจึงทำให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากนั้นมาได้”
โจวสุนมองไปยังหลานสาวที่แสนเชื่อฟังว่าง่ายคนนี้ ในใจก็พลันคิดขึ้นมาว่าทำไม หลานสาวคนนี้ถึงไม่เป็นผู้ชายกันนะ ถ้าหากลูกชายของเขาที่ตายไปคนนั้นมีความสามารถและฉลาดหลักแหลมได้สักครึ่งหนึ่งของเธอ เขาก็คงจะพอใจมากแล้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกอย่างนั้นไม่มีคำว่าถ้าหาก และตัวเขาเองก็รู้ดีว่าจื่อเอ๋อกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่าอย่างไรเสียหญิงสาวก็ต้องแต่งงานออกเรือน แล้วหลังจากที่แต่งงานไป ตอนนั้นการจะบอกว่าเธอยังเป็นคนตระกูลโจวนั้นคงจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกให้ชัดเจนแล้ว
เขาคิดไปคิดมาพลันพูดว่า: “สัปดาห์นี้คุณชายสองของตระกูลไป๋ก็จะเดินทางมาที่นี่ด้วย จื่อเอ๋อจะไปพบเขาสักหน่อยไหม”
โจวสุนไม่ได้พูดดักทางอะไร เขารู้ว่าโจวจื่อเอ๋อไม่ต้องการที่จะเดินเข้าสู่เส้นทางนี้ถึงได้พยายามขนาดนี้ และเขาคิดว่าหากโจวจื่อเอ๋อไม่ยินยอมจนหัวชนฝา อย่างนั้นตัวเขาก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
แต่โจวจื่อเอ๋อกลับสะกดความทุกข์ไว้ในใจ แล้วยิ้มตอบออกมา : “ได้ค่ะ ถึงตอนนั้นจื่อเอ๋อจะปฏิบัติตัวให้ดีที่สุดค่ะ”
โจวสุนมองไปยังโจวจื่อเอ๋อด้วยความตะลึง สิ่งนี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาคิดเอาไว้เลยสักนิด แต่แล้วโจวจื่อเอ๋อก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง: “ถ้าหากคุณลุงไม่ได้มีเรื่องอะไรแล้ว จื่อเอ๋อขอตัวออกไปก่อนนะคะ ”
“อืม ได้!”
กระทั่งโจวจื่อเอ๋อเดินออกมาจากห้องหนังสือ น้ำตาที่เอ๋อล้นอยู่ตรงหางตาในที่สุดก็เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พ่อแม่ของเธอตายไปเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้เธอจึงเป็นเพียงหญิงสาวที่ต้องพึ่งอาศัยตระกูลโจวในการมีชีวิตรอด และคนที่เธอไม่อาจจะทรยศมากที่สุดนั้นก็คือตระกูลโจว
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เธอเลือกจะตอบตกลงไป อีกอย่างการรวมเป็นปึกแผ่นกับตระกูลไป๋ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็ถือเป็นอำนาจที่เพียงพอให้ตระกูลโจวสามารถไขว่คว้ามาได้
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาเลย
ในขณะที่ทางด้านเฉินเฟิงก็กำลังพาเสี่ยวเย่เดินทางมายังร้านขายหยกแล้ว
“หยกชิ้นนี้เป็นสินค้าที่ดีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะพกติดตัวเอง ใช้สำหรับเสริมดวงบารมี มอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่น หรือสำหรับเป็นสื่อแทนใจ ล้วนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยนะคะ”
พนักงานสาวสวยคนหนึ่งกำลังกล่าวแนะนำให้กับเฉินเฟิง
เฉินเฟิงมองไปยังหยกสลักลายมังกรชิ้นนั้นก็รู้สึกว่ามันไม่เลวจึงพูดออกมาทันที : “อันนี้ห่อให้ผมเลยครับ”
ใบหน้าของพนักงานขายสาวเต็มไปด้วยความสุข พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม : “คุณผู้ชายเป็นคนตาดีจริงๆ เลยค่ะ หยกนี้มีคนถูกใจเป็นจำนวนมากเลย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะซื้อสักที ต่างก็บอกว่าราคาสูงเกินไป แต่พวกเขาเองต่างหากที่ไม่รู้ว่าหยกงามขนาดนี้ ย่อมมีราคาสูงเป็นเรื่องปกติ ”
เฉินเฟิงยิ้มรับ เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังยกย่องว่าเขานั้นร่ำรวย แต่เขากลับคิดว่าเรื่องแบบนี้มีอะไรให้ต้องยกย่องด้วย
“คุณชายเฉิน คุณรีบดูอันนี้เร็ว กระต่ายอันนี้ เหมือนมากๆ เลยค่ะ !” เสี่ยวเย่เกาะลงไปบนตู้โชว์มองด้วยความตื่นเต้น
เฉินเฟิงเดินเข้าไป แล้วมองไปยังหยกใสชิ้นนั้นที่ถูกแกะสลักให้เป็นรูปทรงเหมือนดั่งกระต่ายมีชีวิตตัวหนึ่ง ซึ่งดูแล้วมีความหรูหราอย่างมาก
ทางด้านพนักงานสาวคนนั้นก็ต้องการให้เฉินเฟิงซื้อเพิ่มอีกชิ้น จึงรีบแนะนำทันที: “ถ้าหากว่าคุณผู้ชายซื้อชิ้นนี้เพิ่มอีกอัน ฉันสามารถให้ส่วนลดพวกคุณได้นะคะ”
แต่เมื่อเธอพูดอย่างนั้นกลับทำให้เสี่ยวเย่ตกใจขึ้นมาทันที เธอรีบสะบัดมือ : “ฉันไม่ได้อยากได้หรอกค่ะ ฉันก็แค่ลองดูเท่านั้น ของแพงขนาดนี้ ฉันไม่กล้าพกติดตัวหรอกค่ะ ”
พนักงานสาวถึงกับตะลึงไม่ต่างกัน เธอนั้นพอจะมองออกว่าเสี่ยวเย่นั้นแต่งตัวธรรมดา ในขณะเดียวกันคนที่มาด้วยอย่างเฉินเฟิงกลับเป็นคนร่ำรวย และนั่นทำให้เธอคิดว่านี่คือสไตล์การจับคู่ที่คนกำลังนิยมในตอนนี้ แต่แล้วเธอก็มองไปยังเฉินเฟิง เพราะอย่างไรเสียคนที่จะตัดสินใจก็ยังคงเป็นเฉินเฟิง