เฉินเฟิงส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธ: “ไม่มีอะไร”
สาเหตุที่เขาไม่ได้พูดออกมานั้นเป็นเพราะว่าจู่ๆ เขาก็มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ถ้าเกิดการจุดประเด็นนี้ขึ้นมาแล้ว มันจะกลายเป็นดั่งการทอดสะพานยาว และมีความเป็นไปได้จะเกิดการแตกหักตั้งแต่ส่วนฐานเลยก็ว่าได้ ซึ่งเบื้องหลังอำนาจที่ยังไม่ทราบที่มานั้น เฉินเฟิงเองก็เชื่อมั่นได้เลยว่าหลังจากที่พวกเขาได้ประสบผลลุล่วงตามที่ต้องการแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลย
ส่วนไป๋ซิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จึงเอาแกนแอปเปิลที่ตัวเองกินหมดแล้วโยนออกไป ก่อนจะหันมาพูดต่อ : “ ตระกูลโจวเชิญให้พวกเราไปที่นั่น เพราะว่าช่วงนี้ตระกูลของพวกเขากำลังมีข่าวดี ดังนั้นการที่พวกเราไปร่วมแสดงความยินดีจะไม่มีใครสงสัยแน่นอน ”
เฉินเฟิงถามกลับ: “ที่คุณมาแจ้งเรื่องนี้กับผม เพราะต้องการให้ผมไปพร้อมกับพวกคุณงั้นหรอ ?”
ไป๋ซิงพยักหน้า: “คุณพ่อตั้งใจให้ผมมาหาคุณชายเฉิน เขาบอกว่าเรื่องนี้คุณชายเฉินเป็นคนริเริ่มขึ้นมา ดังนั้นหากให้อีกฝ่ายได้พบกับคุณชายเฉิน พวกเขาคงน่าจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ยังบอกอีกว่าหากว่าคุณชายเฉินไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยตัวตน อย่างนั้นก็ไม่เป็นอะไร พวกเราไปกันเองก็เพียงพอแล้ว ”
เฉินเฟิงคิดไตร่ตรองพร้อมตอบกลับ: “ในเมื่อพวกคุณอยากให้ผมไปด้วย ก็แสดงว่าคงคิดไว้แล้วว่าการมีผมไปด้วยน่าจะดีกว่าสินะ”
“ความหมายของคุณพ่อเป็นอย่างนั้นจริงครับ แต่ทุกอย่างก็ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณชายเฉิน ”
เฉินเฟิงหัวเราะพลางตอบกลับ: “คุณอุตส่าห์มาเชิญผมถึงที่นี่แล้ว ผมก็ควรจะไว้หน้าพวกคุณหน่อย ไปก็ได้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าหน้าของผมจะใหญ่ได้ถึงขนาดไหนเชียว ”
ไป๋ซิงเองก็หัวเราะตามออกมา: “คุณชายเฉิน ไม่ใช่ฉันอวดดีแทนคุณ สิ่งที่คุณได้ทำในยันเจียงเมื่อหลายปีมานี้ ไม่มีครอบครัวไหนในทะเลทรายแห่งนี้ไม่รู้หรอกนะครับ ถ้าหากว่าพวกเขาเห็นคุณไปที่นั่นก็คงจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นแน่นอน ”
เฉินเฟิงที่ได้ยินอย่างนั้นได้เพียงแค่หัวเราะเท่านั้น
เฉินเฟิงได้ยินมาว่างานเลี้ยงฉลองของตระกูลโจวนั้นคือการที่พวกเขาได้มีหลานชายที่เป็นสมาชิกคนใหม่เพิ่มเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นในเมื่อต้องเข้าบ้านคนอื่น อย่างนั้นของขวัญจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
“เสี่ยวเย่ คุณว่างานฉลองในการมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา พวกเราควรจะมอบของอะไรให้ดี?”
เฉินเฟิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองดูเสี่ยวเย่กำลังทำความสะอาดกล่าวถามขึ้นมาอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ส่วนตัวเขาเพียงแค่ต้องการถามความคิดเห็นเพิ่มเติมเท่านั้น
เสี่ยวเย่ที่ได้ยินคำถามของเขา เธอก็วางไม้กวาดที่อยู่ในมือลงก่อนจะครุ่นคิดอย่างจริงจัง แต่ดูเหมือนคำถามนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตัวเธอเลย
เธอได้แต่เกาหัวพร้อมตอบ: “ให้หยกอันหนึ่งมั้งค่ะ ตอนที่น้องสาวฉันคลอดออกมาก็มีคนมอบหยกให้อันหนึ่ง จนฉันอยากจะได้มันมากๆ แต่คุณแม่บอกว่านั่นเป็นของน้องสาว แม้แต่จะแตะยังไม่ได้เลย เพราะกลัวว่าฉันจะทำมันเสีย”
ท่าทางของเสี่ยวเย่นั้นดูเหมือนจะอยากได้มากๆ แม้กระทั่งในตอนที่เธอพูดออกมาแววตาก็แฝงไปด้วยความขุ่นมัว
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นจึงเผลอพูดออกมา: “อย่างนั้นรอถึงวันเกิดคุณแล้ว ผมจะให้อันหนึ่งแล้วกัน ”
แต่เสี่ยวเย่กลับสะบัดมือปฏิเสธ: “ไม่เอาค่ะ ฉันไม่สามารถรับของขวัญจากคนอื่นตามอำเภอใจได้”
“คุณอยากได้ไม่ใช่หรอ?ทำไมถึงไม่เอาล่ะ?” เฉินเฟิงถามกลับด้วยความแปลกใจ
เสี่ยวเย่จึงตอบกลับอย่างจริงจังว่า: “คุณชายเฉินมอบของขวัญให้ฉันแล้ว อย่างนั้นฉันเองก็ต้องมอบของขวัญให้กับคุณชายเฉินด้วย แต่ว่าฉันยากจนขนาดนี้ ของขวัญที่ฉันจะมอบให้ได้คงจะดีไม่เท่ากับสิ่งที่คุณชายเฉินเคยมอบให้ฉันหรอกนะคะ ”
เฉินเฟิงหัวเราะขึ้นมา: “ผมไม่ได้จะให้คุณมอบของขวัญให้ผมหรอกนะ คุณวางใจได้เลย”
แต่เสี่ยวเย่กลับยิ่งไม่มีความสุข เธอส่ายหน้าพลางตอบกลับอีกครั้ง: “ให้ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ การมอบของขวัญระหว่างเพื่อนนั้นถือเป็นเรื่องที่ควรแลกเปลี่ยนกัน แบบนี้ถึงจะทำให้ทั้งสองมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ไม่อย่างนั้นมิตรภาพระหว่างทั้งสองก็ไม่อาจจะอยู่ยาวนาน คุณแม่เคยบอกฉันเอาไว้แบบนี้ค่ะ ”
เสี่ยวเย่จ้องไปยังเฉินเฟิงอย่างจริงจัง ในขณะที่เฉินเฟิงเองก็รู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้หากเธอดื้อรั้นขึ้นมา ต่อให้เอาวัวมาลากก็ลากเธอกลับมาไม่ได้
“งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า ของที่ผมมอบให้คุณจะเป็นของที่ราคาไม่แพงมาก จากนั้นในตอนที่คุณจะมอบของขวัญให้ผมก็เอาสิ่งของในราคาที่ไม่ต่างกันแลกคืนมาก็พอ แบบนี้คุณจะได้ไม่ต้องกังวลใจอีก คุณว่ายังไง ”
เสี่ยวเย่ที่ได้ยินจึงไตร่ตรองอย่างจริงจังอยู่พักใหญ่กว่าจะพูดออกมาอย่างช้าๆ : “ทำแบบนี้เหมือนจะได้นะคะ”
เฉินเฟิงยิ้มออกมาพลันมองไปยังหญิงสาวผู้ไร้เดียงสาคนนี้ เพราะเขานั้นสามารถที่จะซื้อหยกดีๆ อันหนึ่งมาให้เธอ จากนั้นค่อยบอกกับเสี่ยวเย่ว่าตัวเองซื้อมาจากข้างทางแทน เพราะอย่างไรเสียเสี่ยวเย่ก็ดูไม่ออกอยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ อีกสักครู่คุณต้องลงเขาไปซื้อหยกกับผม เพราะผมอยากจะมอบของขวัญที่มีความหมายให้กับตระกูลโจว ”
ในตอนนั้น ณ ตระกูลโจว
ในห้องหนังสือขนาดใหญ่ มีชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานซึ่งก็คือผู้นำครอบครัวตระกูลโจวอย่างโจวสุน เขาเป็นชายอายุราวๆ สี่สิบปี มีใบหน้าที่แน่วแน่ทรงพลัง ทรงคิ้วหนายาว ดวงตาเรียวคม ดูสง่าผ่าเผยแม้จะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา
ขณะที่ทั้งทางด้านซ้ายและขวาทั้งสองด้านมีคนกำลังนั่งอยู่ด้วย ซึ่งพวกเขาที่นั่งอยู่ในนี้ล้วนเป็นสมาชิกที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลโจว
โจวสุนพูดขึ้น: “พวกคุณคิดว่าการต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายครั้งนี้มีโอกาสมากขนาดไหน ”
ชายคนหนึ่งในนั้นที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับโจวสุนเอ่ยปากตอบ: “ในเมื่อเป็นตระกูลไป๋ที่เป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมคิดว่าน่าจะลองดูสักตั้ง ต่อให้แพ้อย่างน้อยพวกเราก็สามารถลอกหนังของหมาป่าทะเลทรายออกมาได้ชั้นหนึ่ง ”
แต่กลับมีคนกล่าวแย้งในทันที: “โจวฟ่าง คุณพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก”
โจวฟ่างหันไปเหลียวชายชราสูงอายุที่นั่งอยู่ตรงข้าม พร้อมถามกลับอย่างไม่เกรงใจ : “มีอะไรไม่ถูกงั้นหรอครับ ในเมื่อหมาป่าทะเลทรายก็เป็นศัตรูของพวกเรามาโดยตลอด การได้แว้งกัดพวกเขากลับสักครั้งก็นับเป็นความฝันที่ที่ทำให้ผมสามารถยิ้มตื่นขึ้นมาได้ ”
น้ำเสียงของชายคนนั้นดูน่าเกรงขามอย่างเห็นได้ชัด เขาตอบกลับอย่างเคร่งขรึม : “ถ้าหากคุณมีความคิดแบบนี้ ไม่ช้าไม่นานคุณจะทำลายตระกูลโจวของเรา ”
และชายอีกคนที่นั่งข้างๆ ซึ่งดูอายุน้อยกว่าโจวฟ่างก็พูดขึ้นมา : “ลุงสาม ผมคิดว่าที่พี่สี่พูดนั้นก็ไม่ผิดนะครับ หรือจะบอกว่าลุงสามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนไปแล้ว ?”
ลุงสามอุทานด้วยความไม่พอใจออกมา: “ฉันไม่ลืมอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้กับตอนนั้นมันไม่เหมือนกัน ”
“ทำไมจะไม่เหมือนกันล่ะครับ ขอเพียงพวกเรายังจำความแค้นนั้นได้ฝังใจ การที่จะให้หมาป่าทะเลทรายกระอักเลือดออกมาก็ย่อมเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อยู่แล้ว เพราะเดิมทีตระกูลโจวของเราควรจะหมดสิ้นไปแล้ว ” โจวฟ่างตะเบ็งเสียงดัง
แต่เพราะลุงสามคงจะคิดว่าโจวฟ่างกำลังทำตัวไร้เหตุผล ดังนั้นจึงทำเป็นไม่สนใจเขาเลย พลางหันไปพูดกับโจวสุน : “ผู้นำ ถึงแม้ว่าจะร่วมมือกับตระกูลไป๋ในการต่อกรกับหมาป่าทะเลทราย แต่ผมคิดว่ายังไงเสียพวกเราก็จำเป็นต้องคิดวางแผนให้รอบคอบเสียก่อน ไม่ควรที่จะบุ่มบ่าม สามปีมานี้กว่าพวกเราจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะให้ทุกอย่างสูญเปล่าไม่ได้”
โจวสุนหันไปมองโจวฟ่าง ก่อนจะพูดกับลุงสามอย่างนิ่งสงบ: “ลุงสาม ผมเข้าใจความหมายของคุณดี”
โจวฟ่างที่ได้ยินก็รีบร้อนพูดขัดขึ้นมา: “ผู้นำ นี่ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่เลยทีเดียว ถ้าหากให้เพิ่งแค่ตระกูลโจวของเราเอง แบบนั้นเมื่อไหร่พวกเราถึงจะสามารถแก้แค้นได้ล่ะ นี่ผู้นำลืมคนในตระกูลของเราที่ตายไปเมื่อสามปีก่อนแล้วงั้นหรอ ?”
ลุงสามกระแทกเสียงขึ้นมา: “โจวฟ่างระวังฐานะของตัวเองด้วย คุณกล้าพูดแบบนี้กับผู้นำได้อย่างไร ”
โจวฟ่างเหลียวมองลุงสามอย่างไม่พอใจ จนความโมโหแทบจะทะลุออกมาจากดวงตาคู่นั้น
และในตอนนั้นเองโจวสุนก็หันไปมองยังหญิงสาวที่นั่งตรงริมสุดซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลย : “จื่อเอ๋อ เธอมีความคิดอะไรบ้าง ?”
ทางด้านหญิงสาวที่มีชื่อว่าจื่อเอ๋อนั้นเธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่นั่งอยู่ในนี้ ซึ่งอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ เธอมีดวงตาที่สุกใสฟันที่ขาวสวย สง่างามและชวนมอง หากดูเพียงแค่ภายนอกเธอนับว่าเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่การที่เธอสามารถมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ คิดแล้วคงจะไม่ใช่แค่เพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกแน่นอน
เธอขยับปากพูดอย่างช้าๆ : “ที่คุณปู่สามพูดก็มีเหตุผลค่ะ ในเมื่อต้องการที่จะแก้แค้น อย่างนั้นพวกเราก็ควรจะมีการเตรียมตัวที่ดี อีกอย่างที่จื่อเอ๋อคิดนั้นก็คือในเมื่อเราจะลงมือแล้ว อย่างนั้นไม่ควรจะทำแค่กัดเพียงนิดเดียวเท่านั้น ดีที่สุดคือฆ่าพวกเขาซะ นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการทำมากที่สุด