แต่สิ่งที่ทำให้เธอนึกไม่ถึงเลยนั้นก็คือเฉินเฟิงจะกล่าวปฏิเสธ
“อันนี้ไม่เอาดีกว่าครับ ในเมื่อเธอไม่กล้าที่จะเอา งั้นผมก็จะไม่บังคับให้เธอพกติดตัว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเฉินเฟิง พนักงานขายสาวถึงกับผิดหวังเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงแสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกมา: “ถ้าเกิดว่าทั้งสองชื่นชอบ ฉันจะเก็บเอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะ รอจนกระทั่งทั้งสองอยากจะซื้ออีกครั้ง ส่วนลดนี้ก็ยังคงให้เหมือนเดิม”
เฉินเฟิงได้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะพาเสี่ยวเย่เดินออกมาจากที่นั่น
แต่ในตอนนั้นเองที่มีหญิงสาวสวมใส่รองเท้าส้นสูงคนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ เข้ามาด้านในร้าน
ทันทีที่เธอเดินเข้ามาก็ตะโกนใส่พนักงานว่า: “หยกแขวนอันนั้นที่ฉันถูกใจคราวที่แล้วเล่า”
พนักงานที่ได้ยินจึงรีบเดินก้าวเข้าไปหาทันที : “คุณหวางนี่เอง!ต้องขออภัยอย่างยิ่งเลยนะคะ หยกชิ้นนั้นของคุณถูกขายออกไปแล้วค่ะ ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวก็เดือดดาลขึ้นมาทันที: “ฉันบอกให้เก็บเอาไว้ให้ฉันก่อนไม่ใช่หรือไง?ทำไมเธอถึงเอาขายไปได้ นี่ฉันไม่ได้บอกว่าตัวเองจะกลับมาซื้อหรอกหรอ ?”
พนักงานขายสาวถึงกับประหม่าขึ้นมา: “คุณบอกให้ฉันเก็บเอาไว้ให้ก็จริงค่ะ แต่นี่ก็ผ่านมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วนะคะ การจะให้พวกเราไม่ขายมันออกไปคงจะไม่ได้หรอกค่ะ!”
ทันใดนั้นน้ำเสียงของหญิงสาวคนนั้นก็สูงขึ้นมา: “ความหมายของเธอก็คือฉันมาสายเกินไปงั้นสินะ ฉันบอกตกลงไปแล้วนี่ว่าอีกหนึ่งสัปดาห์ฉันจะหาเงินมาซื้อได้แน่นอน แต่พวกเธอกลับเอามันขายไปก่อนซะแล้ว นี่พวกเธอเปิดร้านการแบบนี้งั้นหรอ ?”
พนักงานถึงกับไปต่อไม่ถูกกันเลยทีเดียว
ทางด้านเฉินเฟิงพอจะดูออกแล้วว่าเป็นเพราะพวกเธอคิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่มีทางหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาได้ ดังนั้นในตอนที่สามารถขายได้ พวกเธอจึงได้ขายออกไป
และแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเฉินเฟิงเลย
ซึ่งในตอนที่กำลังจะบอกเสี่ยวเย่ว่าให้ทั้งสองออกไป ทางด้านหลังกลับมีเสียงของหญิงสาวตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“พวกคุณสองคนหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ทั้งเฉินเฟิงและเสี่ยวเย่ต่างก็พากันหันหลังกลับไปมอง
ซึ่งปรากฏว่าหญิงสาวคนนั้นกำลังเรียกพวกเขาอยู่
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” เฉินเฟิงถามด้วยความแปลกใจ
หญิงสาวคนนั้นสังเกตมองเฉินเฟิงและเสี่ยวเย่ ก่อนจะถามกลับ “หยกแขวนชิ้นนั้นพวกคุณเป็นคนซื้อไปแล้วใช่หรือเปล่า ?”
“หยกแขวนอะไร?” เฉินเฟิงกล่าวถาม ถึงแม้ว่าตัวเขาพอจะคาดเดาได้แล้วก็ตาม
“ก็หยกแขวนลายมังกรนั่นไง”
เฉินเฟิงตวาดสายตามองไปยังพนักงานขาย แต่พวกเธอไม่กล้าที่จะมองมาทางเขาทั้งยังพากันหลบหน้าอีกต่างหาก
ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าพวกเธอได้ขายให้กับเฉินเฟิงไปแล้วจริงๆ
“คุณมองอะไรกัน?ฉันถามว่าคุณซื้อหยกชิ้นนั้นไปแล้วใช่ไหม”
เฉินเฟิงที่ได้ยินอย่างนั้นจึงหันกลับมามองเธออีกครั้งก่อนจะตอบ: “ใช่ ผมเอง”
“ขายมันให้ฉันซะ ฉันจะเพิ่มเงินให้คุณอีกหนึ่งพัน ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
เฉินเฟิงยิ้มตอบ: “คุณคิดว่าผมดูเหมือนคนขาดเงินหนึ่งพันนั้นหรอครับ?”
แต่หญิงสาวกลับไม่ได้สนใจ: “ห้าพัน ให้เยอะกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันไม่อยากไปหาเรื่องให้กับคนเบื้องหลังของฉัน ถ้าหากว่าคุณยังไม่ยินยอมอีก ฉันจะไปเรียกคนอื่นให้มาคุยกับคุณ ”
เฉินเฟิงใช้สายตามองไปที่เธอราวกับมองดูคนปัญญาอ่อน: “ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ อย่างนั้นคุณก็ไปหาคนที่มีสมองมาคุยกับผมแทนเถอะ ผมไม่อยากจะคุยกับคุณ ”
แน่นอนว่าคำพูดแบบนี้ใครฟังก็เข้าใจได้ทันทีว่าเฉินเฟิงกำลังด่าว่าเธอไม่มีสมอง แม้แต่เสี่ยวเย่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังต้องแอบกระตุกแขนเขา ด้วยความไม่ต้องการที่จะให้เฉินเฟิงสร้างปัญหาอะไรขึ้นมา
แต่เฉินเฟิงกลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด
“คุณกล้าด่าฉันงั้นหรอ นี่คุณคงจะเบื่อการมีชีวิตแล้วสินะ”
ถึงอย่างนั้นเฉินเฟิงยังคงไม่สนใจเธอ ทั้งยังดึงตัวเสี่ยวเย่เตรียมจะออกไป
แต่หญิงสาวคนนั้นกลับรีบวิ่งเข้ามาตรงหน้าเฉินเฟิง แล้วขวางทางพวกเขาเอาไว้
“พวกคุณจะไปไม่ได้”
เฉินเฟิงเริ่มรู้สึกหมดความอดทนขึ้นมา: “หลีกไป!”
“ฉันไม่หลีก” หญิงสาวคนนั้นตะโกนออกมาอย่างไร้เหตุผล
เฉินเฟิงยื่นมือออกไปขยับตัวหญิงสาวออกไปอีกทาง แต่ทว่ากำลังของเขามากเกินไปเสียหน่อย จึงทำให้หญิงสาวมีอาการโซเซเล็กน้อยจนเกือบจะล้มไปกับพื้น
หลังจากที่เธอยืนจนมั่นคงก็ร้องตะโกนลั่นออกมา : “รีบเข้ามาดูเร็ว คนทำร้ายผู้หญิง ”
คำพูดนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนตามท้องถนนเป็นอย่างมาก เพียงไม่นานคนที่อยู่บริเวณโดยรอบก็ต่างหันมามองยังพวกเขา ซึ่งนั่นทำให้เฉินเฟิงรู้ได้เลยว่ากำลังเจอกับปัญหายุ่งยากแล้ว ถ้าหากว่าตัวเขายังถูกรั้งเอาไว้ที่นี่ต่อไป สำหรับเขาแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายและไร้หนทางที่จะทำให้คนกลุ่มนี้เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งปัญหาไร้สาระพวกนี้เป็นเรื่องที่เฉินเฟิงไม่สามารถจัดการได้ด้วยมากที่สุด
เฉินเฟิงจึงหันไปกระซิบกับเสี่ยวเย่ที่อยู่ข้างๆ : “พวกเราต้องวิ่งแล้ว คุณจับมือผมเอาไว้ให้ดีล่ะ”
เสี่ยวเย่ที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เธอก็ถูกเฉินเฟิงจับมือเอาไว้ ก่อนจะวิ่งหนีออกมาท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของผู้คนเหล่านั้น
เมื่อวิ่งมาได้หลายร้อยเมตร เสี่ยวเย่ก็เหนื่อยจนแทบจะวิ่งต่อไม่ไหว
“คุณชายเฉิน ฉันวิ่งต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว” เธอใช้มือทั้งสองข้างยันหัวเข่าเอาไว้พร้อมกับหายใจหอบอย่างหนัก
แน่นอนว่าไม่มีใครวิ่งตามหลังมา และหญิงสาวคนนั้นก็ไม่มีทางวิ่งตามมาทันอีกด้วย ดังนั้นเฉินเฟิงจึงหยุดเท้าลง
“ทำไมคุณถึงได้อ่อนแอแบบนี้นะ!” เฉินเฟิงยืนหัวเราะเยาะอยู่ข้างๆ
“คุณชายเฉิน ฉันเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งนะคะ ฉันวิ่งไม่ไหว มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอคะ ?” เสี่ยวเย่พูดไปพลันหอบไป ใบหน้าเล็กๆ นั้นของเธอแดงขึ้นมา พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง ทำให้น่าเอ็นดูอย่างมาก
“เป็นผู้หญิงแล้วยังไง จะบอกว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปงั้นหรอ ?” เฉินเฟิงตอบกลับ
เสี่ยวเย่ถึงกับมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความสงสัย: “แล้วฉันไม่ใช่หรอคะ?ฉันคิดมาตลอดว่าตัวเป็นแค่คนธรรมดานะคะ”
ทันใดนั้นสีหน้าของเฉินเฟิงก็จริงจังขึ้นมา: “คุณจะเป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไปได้ยังไงกัน เท่าที่ผมเคยเจอมาคุณน่ะเป็นผู้หญิงที่ …… ”
เฉินเฟิงหยุดชะงักลงแล้วมองไปยังเสี่ยวเย่ ซึ่งนั่นทำให้เสี่ยวเย่แทบจะอดอยากรู้ไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นคนแบบไหนในสายตาของเฉินเฟิง เธอเฝ้ารอคำตอบก่อนจะถามออกไปด้วยความเขินอาย: “คุณชายเฉิน……น่าเกลียดเกินไปแล้ว”
“เสี่ยวเย่ คุณเข้าใจผมผิดแล้ว อันที่จริงคุณเป็นผู้หญิงที่พูดเยอะที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยต่างหาก ”
เสี่ยวเย่ที่ได้ยินก็จ้องเฉินเฟิงด้วยความโกรธทันที
ถึงแม้ว่าเสี่ยวเย่จะเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์ขัน สามารถพูดหยอกล้อได้ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีอารมณ์โกรธเช่นกัน และเมื่อเป็นแบบนี้คำพูดหยอกล้อนี้จึงทำร้ายจิตใจเสี่ยวเย่เข้าไปอย่างจัง
เธอโกรธขึ้นมา และด้วยความน้อยใจจึงทำให้เธอมองไปยังเฉินเฟิงอย่างไม่พอใจและไม่พูดอะไรเลยสักคำ
ส่วนเฉินเฟิงนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าคำหยอกล้อของตัวเองนั้นมีความเกินเลยไปแล้ว เขาจึงรีบหุบยิ้มของตัวเองลงแล้วหันไปกล่าวขอโทษอย่างจริงจัง : “เสี่ยวเย่ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรจะพูดล้อเล่นแบบนี้กับคุณ ”
แต่ว่าน้ำตาของเสี่ยวเย่นั้นกลับเอ่อล้นขึ้นมาและพร้อมจะร่วงลงมาได้ทุกเมื่อแทน
“คุณยกโทษให้คุณชายเฉินเถอะนะ คุณชายเฉินสำนึกผิดแล้ว ” เฉินเฟิงใช้คำเรียกที่เสี่ยวเย่มักใช้เรียกตัวเองขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวเย่ก็ยังไม่ยอมพูดกับเขาอยู่ดี
และในตอนนั้นเอง หญิงสาวสวมรองเท้าส้นสูงคนนั้นก็วิ่งเข้ามาทางพวกเขา
“พวกคุณอย่าวิ่งหนีนะ ” เธอหอบหนักจนแทบไม่ไหว จึงทำให้เสียงตะโกนนั้นเบาลงไปด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นเฉินเฟิงและเสี่ยวเย่ก็พอจะได้ยินเสียงนั้นอยู่ดี
เฉินเฟิงหันไปดึงมือเสี่ยวเย่ทันที แต่เสี่ยวเย่กลับไม่มีการตอบสนองใดๆ และเพียงปล่อยให้เฉินเฟิงดึงตัวไว้อย่างนั้น
แต่ในขณะเดียวกันตัวเธอเองก็วิ่งต่อไม่ไหวอีกแล้ว จึงร้องออกมา : “ฉันวิ่งต่อไม่ไหวแล้วค่ะ”
เฉินเฟิงหันไปมองเพียงแวบเดียวก็อุ้มตัวเธอขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะสาวเท้าวิ่งอีกครั้ง
และด้วยความเร็วของเฉินเฟิง ทำให้เพียงไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็นำห่างมาได้สามสี่ไมล์แล้ว
โดยที่หญิงสาวคนนั้นที่วิ่งตามหลังมาก็ถูกสลัดทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าเฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับยังอุ้มเสี่ยวเย่เอาไว้ไม่ปล่อย
“วางฉันลงได้แล้วค่ะ” เสี่ยวเย่พูดพลางผลักแผ่นอกของเฉินเฟิง