ในขณะที่บ้านตระกูลโจวนั้นก็ไว้หน้าพวกเขาเป็นอย่างมาก โดยมีโจวฟ่างออกมาให้การต้อนรับด้วยตนเอง ซึ่งเขาก็คือน้องชายแท้ๆ ของผู้นำครอบครัวตระกูลโจวนั่นเอง เขาเดินออกมาหาพบปะกับพวกเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นจึงนำพาพวกเขาไปยังห้องโถงด้านข้าง ก่อนที่โจวฟ่างจะขอตัวออกไป ด้านในนี้นั้นไม่ได้คึกคักเสียงดังเหมือนด้านนอก และยังมีความเงียบสงบเป็นอย่างมาก
ทางด้านพวกเขานั้นเข้าใจความหมายของโจวฟ่างเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อรอเพียงไม่นาน ผู้นำครอบครัวตระกูลโจวก็เดินเข้ามา
โดยด้านหลังของเขามีหญิงสาวท่าทางอ่อนโยนเดินตามมาด้วยอีกคน เธอสวมด้วยชุดเดรสสีขาว ผมยาวสลวย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้พบเห็น
แต่เนื่องด้วยมารยาทพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะจ้องเธอนานนัก
“พี่โจว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ !” ไป๋ซิงเหมือนจะรู้จักกับโจวสุนมานานแล้ว ดังนั้นทันทีที่ได้พบหน้ากันเขาจึงเข้าไปกอดทักทายด้วยความเป็นกันเอง
“ไม่ได้เจอกันแล้วจริงๆ !มา นั่งลงพูดคุยกันดีกว่า” โจวสุนบอกให้ทุกคนนั่งลง ก่อนที่เขาจะมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ข้างไป๋ซิง
ทางด้านไป๋ซิงจึงกล่าวแนะนำขึ้นมา: “ท่านนี้คือน้องชายของผมไป๋ซู ท่านนี้คือลูกพี่ลูกน้องไป๋เฉิงหลิน” แต่ในตอนที่แนะนำถึงเฉินเฟิง เขากลับยิ้มออกมา : “ส่วนท่านนี้ไม่ใช่คนตระกูลไป๋ของเรา แต่เป็นแกนนำหลักในการรับผิดชอบเรื่องนี้”
โจวสุนมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความสงสัย: “ไม่ทราบว่าท่านนี้เป็นใครกันแน่?ดูแล้วยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย?”
ไป๋ซิงแสดงสีหน้ามีลับลมคมในออกมา: “พี่โจวจะไม่ลองทายดูสักหน่อยหรอครับ?ท่านนี้มาจากยันเจียงเชียวนะครับ และอีกอย่างเขายังเป็นคนที่มีความเก่งกาจมากด้วย ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นโจวสุนจึงยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีก พลางหันไปจ้องมองเฉินเฟิงอย่างถี่ถ้วน แต่เมื่อยิ่งดู สีหน้าของเขาก็ยิ่งแสดงความตกใจขึ้นมามากเท่านั้น
“อย่าบอกนะว่าเขาคือนายท่านใหญ่แห่งยันเจียงคนนั้น เป็นไปได้ยังไง เขามาอยู่ในทะเลทรายนี้ได้อย่างไรกัน ”
ไป๋ซิงหัวเราะออกมาดีใจ: “ดูเหมือนว่าพี่โจวจะคาดเดาได้ถูกต้องแล้วนะครับ ทางด้านคุณชายเฉินเองนั้นก็มีความบาดหมางกับหมาป่าทะเลทรายเช่นกัน ดังนั้นถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ อีกอย่างเลยก็คือหากไม่มีคุณชายเฉิน วันนี้พวกเราก็คงจะไม่ได้มาพบปะกันเช่นนี้”
โจวสุนตอบกลับด้วยความตกตะลึง: “พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าคุณชายเฉินนั้นกำลังวางแผนจะต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายงั้นหรอ ?ส่วนพวกคุณตระกูลไป๋ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนการของคุณชายเฉินเท่านั้น?”
ไป๋ซิงพยักหน้าอย่างเรียบง่าย
แต่ในตอนนั้นเองที่เฉินเฟิงพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม: “เจ้าตระกูลโจว ผมคงไม่กล้ารับคำพูดแบบนั้นหรอกครับ แต่หากต้องการที่จะจัดการกับหมาป่าทะเลทราย การจะพึ่งเพียงตัวผมเองคงจะทำไม่ได้ ซึ่งนั่นแน่นอนว่าจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกคนแล้วกวาดล้างหมาป่าทะเลทรายให้เป็นเหมือนขยะออกจากทะเลทรายแห่งนี้ไป”
โจวสุนที่รู้ว่าเป็นเฉินเฟิงก็รู้สึกดีใจมากแล้ว เพราะสิ่งนี้เกินความคาดหมายของตัวเขาไปมาก และยิ่งเมื่อได้ยินเฉินเฟิงพูดแบบนี้อีก เขาจึงยิ่งดีใจมากขึ้น : “คุณชายเฉิน หากว่ามีคุณมาร่วมด้วย อย่างนั้นหนทางที่จะทำให้หมาป่าทะเลทรายออกไปจากที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ”
และความตื่นเต้นนี้ดูเหมือนจะสามารถแพร่กระจายสู่คนอื่นได้อย่างง่ายดาย เพียงไม่นานทุกคนต่างก็พากันหัวเราะออกมา จะมีเพียงแค่โจวจื่อเอ๋อคนนั้นที่เฉินเฟิงไม่เคยรู้จักมาก่อนที่ได้เพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ ออกมาตามคนอื่นๆ เท่านั้น
และหลังจากที่ทุกคนหัวเราะกันจนพอใจ ไป๋ซิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้งอย่างจริงจัง: “พี่โจว ถึงแม้ว่าคุณชายเฉินจะเต็มใจช่วยเหลือ แต่ฐานกำลังทั้งหมดของคุณชายเฉินนั้นอยู่ที่ยันเจียงหมดเลย และถ้าหากต้องต่อสู้กับหมาป่าทะเลทรายขึ้นมาจริงๆ พวกเราจำเป็นต้องทุ่มเทสุดกำลัง ”
ทางด้านโจวสุนก็พยักหน้ารับอย่างจริงจังเช่นกัน: “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นธุระของพวกเราเองอยู่แล้ว การที่คุณชายเฉินเข้ามาให้ความช่วยเหลือนั้นก็นับว่าเป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเรามากพอแล้ว ”
พูดไป เขาก็พลางมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความซาบซึ้งใจไม่หาย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ผมเองก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังกับพี่โจวอีก การต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายในครั้งนี้ ฝั่งพวกเรานั้นมีความต้องการเอาให้ตายกันไปข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าไม่ใช่หมาป่าทะเลทรายที่ต้องตาย อย่างนั้นก็จะเป็นพวกเราตระกูลไป๋ที่จะต้องหายสาบสูญไปจากทะเลทรายแห่งนี้แทน ซึ่งสิ่งนี้พวกเราจำเป็นต้องแจ้งให้กับตระกูลโจวได้ทราบเอาไว้ก่อน หวังว่าตระกูลโจวจะสามารถเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้า ” น้ำเสียงของไป๋ซิงนั้นแน่วแน่อย่างมาก
คำพูดประโยคนี้ถึงกับทำให้ทั้งโจวสุนและโจวจื่อเอ๋อคาดไม่ถึงเลยทีเดียว จนใบหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปเล็กน้อย
โจวสุนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น: “ความคิดของตระกูลไป๋นั้น พวกเราเองก็รู้ดี แต่ว่าเรื่องนี้ …… ”
แต่โจวสุนที่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ โจวจื่อเอ๋อที่ยืนข้างๆ ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน : “คุณลุงใหญ่ พวกเราตระกูลโจวเองก็จะพยายามอย่างสุดกำลังเช่นกัน เพราะการจะต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายนั้นยังไงก็มีเพียงชนะกับแพ้สองทางเลือกเท่านั้น ถ้าหากแพ้ขึ้นมาจริงๆ มีหรือที่หมาป่าทะเลทรายจะยอมปล่อยพวกเราไป ?”
โจวสุนเหลียวมองไปยังโจวจื่อเอ๋อด้วยความตกตะลึง แต่โจวจื่อเอ๋อก็ยังคงแสดงสีหน้าแน่นิ่ง พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ อันแสนนิ่งเรียบ
โจวสุนจึงไม่ได้คิดอะไรมากก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยทันที: “ก็เป็นอย่างที่ว่า ในเมื่อคิดที่จะแก้แค้น อย่างนั้นก็ไม่ควรที่จะมีความไม่ชัดเจนอะไรอีก ความต้องการของพวกเรานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับตระกูลไป๋เลย ”
เมื่อเขาพูดจบ ทางด้านตระกูลไป๋ก็โล่งใจขึ้นมา
จะมีเพียงก็แต่เฉินเฟิงคนเดียวที่เกิดความสงสัยเกี่ยวกับตัวโจวจื่อเอ๋อที่เอ๋ยปากพูดเพียงเล็กน้อยขึ้นมา เพราะถ้าหากไม่ใช่โจวจื่อเอ๋อที่กล่าวเตือนสติ โจวสุนก็คงยังมีความลังเลใจอยู่
และประเด็นหลักของการสนทนานี้คือการตัดสินใจของแต่ละฝ่ายว่าต้องการที่จะดำเนินแผนการนี้ต่อไปหรือไม่ เพราะถ้าหากรอจนถึงช่วงเวลาสำคัญแล้วกลับมีคนถอนตัวออกกลางคัน สิ่งนี้จะทำให้เกิดความวินาทขึ้นมาทันที
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ในตอนนี้คือได้รับการเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายก็ต่างยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก ซึ่งต่อจากนี้ก็จะเป็นการพูดคุยถึงรายละเอียดแผนการ
“ในเมื่อตอนนี้พวกเราก็ได้รู้ความคิดของทั้งสองฝ่ายแล้ว อย่างนั้นเรื่องที่เหลือก็รองานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้วค่อยมาพูดคุยกันใหม่อีกทีจะดีกว่า พวกคุณมีความเห็นไงบ้าง ”
แน่นอนว่าไป๋ซิงจะต้องพยักหน้าเห็นด้วย: “เรื่องจากนี้ไม่ได้เป็นหน้าที่ของผมแล้ว ผมมาที่นี่วันนี้เพราะเป็นห่วงเกี่ยวกับทัศนคติของตระกูลโจวเท่านั้น แต่ตอนนี้ผมสามารถวางใจและกลับไปแจ้งให้กับคนของตระกูลไป๋ได้แล้ว ”
โจวสุนยิ้มขึ้นมา ในขณะที่สายตาของเขามุ่งตรงไปยังไป๋ซู พร้อมกับถามขึ้นมา : “ท่านนี้คงจะเป็นคุณชายรองของตระกูลไป๋สินะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้ ทั้งยังดูมีความสามารถไม่เบาเสียด้วย”
ไป๋ซูที่ได้ยินโจวสุนกำลังพูดถึงตัวเอง จึงตอบกลับ : “ขอบคุณสำหรับความเอ็นดูของพี่โจวครับ”
“นี่ไม่ใช่ความเอ็นดูหรอกนะ ชื่อเสียงของคุณชายรองแห่งตระกูลไป๋ในทะเลทรายนี้นั้นโด่งดังไปทั่ว แม้แต่ในเมืองหลานเองก็ด้วย ขนาดเหล่าคุณชายในตระกูลเชียนหลายคนที่ได้ยินชื่อของคุณชายไป๋ยังต้องกล่าวชื่นชมเลย ”
ไป๋ซูตอบกลับอย่างนอบน้อม: “ก็เป็นเพียงการหยอกล้อในกลุ่มเพื่อนเท่านั้นล่ะครับ พี่โจวอย่าได้จริงจังเลย ”
และในตอนนั้นเองที่โจวสุนหันไปพูดกับโจวจื่อเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ : “จื่อเอ๋อ เธอต้องตั้งใจเรียนรู้อะไรมาจากคุณชายรองไป๋บ้าง ตอนนี้เธอเองก็กำลังดูแลกิจการของตระกูลโจวเราอยู่ด้วย หากสามารถเรียนรู้อะไรมาจากคุณชายรองไป๋ได้บ้าง อย่างนั้นก็คงจะช่วยได้ไม่น้อยเลย ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ถ้าหากพวกเขาไม่เข้าใจความหมายของโจวสุนละก็ อย่างนั้นพวกเขากลุ่มนี้ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องจัดการกับหมาป่าทะเลทรายแล้ว
เพราะความพยายามในการทอดสะพานสานสัมพันธ์ให้กับโจวจื่อเอ๋อและไป๋ซูของเขานั้นดูเกินหน้าเกินตาจนเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
โจวจื่อเอ๋อก็ยิ้มหวานขึ้นมา: “รับทราบค่ะ คุณลุงใหญ่ หนูเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณชายรองมาเช่นกัน ทั้งยังชื่นชมถึงความเก่งกาจของเขาด้วย ถ้าหากว่าคุณชายรองไม่ถือสาอะไร จื่อเอ๋อก็ยินยอมที่จะเป็นศิษย์น้องคอยติดตามคุณชายรอง”
ไป๋ซูถึงกับอึ้งชะงัก แต่เมื่อมองดูโจวจื่อเอ๋อแล้ว เธอก็เป็นสาวสวยคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ
“น้องจื่อเอ๋อ ถือว่าเป็นการเรียนรู้แลกเปลี่ยนกันจะดีกว่า อย่าได้ต้องจริงจังขนาดนั้นเลย ” เขาพยายามพูดออกมาอย่างถ่อมตน
แต่ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้นมา
“คนน่าจะมาใกล้ครบแล้ว ต้องอภัยที่ไม่อาจอยู่ให้การต้อนรับต่อ ผมขอตัวออกไปก่อนสักครู่นะครับ ”
เมื่อพูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน ทั้งยังไม่ลืมหันไปพูดกับจื่อเอ๋ออีกครั้ง : “จื่อเอ๋อ เธอต้องทำความรู้จักกับคุณชายรองให้มากหน่อยนะ ”