ทางด้านเฉินเฟิงนั้นทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น ในส่วนของวิธีการจัดการคงต้องให้โจวจื่อเอ๋อเป็นคนตัดสินใจเอง
เฉินเฟิงกล่าวอีกครั้ง: “วิธีการจัดการกับหมาป่าทะเลทรายที่คุณได้บอกเอาไว้ ผมจะกลับไปคิดทบทวนอีกครั้งก่อน เพราะความจริงแล้วบางทีหมาป่าทะเลทรายอาจจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่พวกเราคิดเอาไว้”
และด้วยตอนนี้ความสนใจของโจวจื่อเอ๋อไม่ได้อยู่ในเรื่องของหมาป่าทะเลทรายมากนัก ดังนั้นจึงทำแค่พยักหน้าและตอบรับเพียงคำเดียว
“ผมหายตัวไปสองวันแล้ว ทางตระกูลไป๋อาจจะเกิดความกังวลใจในตัวผม พรุ่งนี้ผมคงต้องไปจากที่นี่แล้ว และการกลับไปที่ตระกูลไป๋อาจจะไม่ได้เจอคุณไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง” เฉินเฟิงพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา
โจวจื่อเอ๋อมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความตกใจเล็กน้อย: “คุณจะไปจากที่นี่ แต่ว่าตอนนี้ฉันยังไม่ได้ออกจากตระกูลโจวเลย คุณสัญญาว่าจะช่วยฉันแล้วนะคะ”
เฉินเฟิงตอบกลับ: “คุณไม่ต้องกังวลใจไป ถ้าหากจะต้องปฏิเสธแผนการก่อนนี้ทั้งหมดจริงๆ อย่างนั้นผมก็จะไม่มีความกังวลใจอะไรในตระกูลโจวอีก และการจะให้ตระกูลโจวปล่อยคุณไปนั้น ก็จะไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรด้วย”
ทว่าโจวจื่อเอ๋อก็ยังมีความรู้สึกที่ไม่เชื่อมั่นอยู่ดี: “ไม่ใช่ว่าคุณไปแล้วจะไม่กลับมาอีกแล้วหรอกนะ”
เฉินเฟิงกลับฉีกยิ้มออกมา: “มีสาวสวยคนหนึ่งอย่างคุณอยู่ที่นี่ หากผมไม่กลับมา ก็คงจะน่าเสียดายเกินไปแล้ว”
โจวจื่อเอ๋อถึงกับกลอกตาใส่เฉินเฟิง: “ไปให้พ้นเลย”
และในคืนวันนี้โจวจื่อเอ๋อก็ให้เฉินเฟิงนอนในห้องของตัวเอง
“คุณจะคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงสำส่อนหรือเปล่า ที่ยอมปล่อยให้คุณเข้ามาง่ายๆ แบบนี้” เมื่ออิงเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินเฟิง โจวจื่อเอ๋อพลางพูดออกมาด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ
ทางด้านเฉินเฟิงนั้นที่รู้ว่าสิ่งไหนดีก็ควรพูดสิ่งนั้นจึงตอบกลับ : “ถ้าหากว่าการที่คุณเข้าใกล้ผมเพื่อที่จะบอกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงสำส่อนคนหนึ่ง อย่างนั้นผมก็คงต้องทำการดูถูกตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่ว่าผมกลับยินดีที่จะเชื่อว่านี่เป็นเพราะเสน่ห์อันเย้ายวนของตัวผมเองมากกว่า ส่วนคุณนั้นก็เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ในการมองที่ไม่เลวเลย”
โจวจื่อเอ๋อที่ได้ยินอย่างนั้นจึงใช้มือหยิกแผ่นออกของเฉินเฟิงอย่างรุนแรง เจ็บจนเฉินเฟิงต้องร้องออกมา
โจวจื่อเอ๋อด่าด้วยรอยยิ้ม: “หน้าไม่อาย”
เฉินเฟิงจึงยิ้มไปพร้อมกับเธอ
แต่อย่างไรก็ตามเฉินเฟิงนั้นเข้าใจดีว่า นี่เป็นเพราะโจวจื่อเอ๋อกำลังหวาดกลัว กลัวว่าเฉินเฟิงจะไม่ยอมตกลง หรืออาจจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นเธอจึงมอบตัวเองให้กับเฉินเฟิงแทน แล้วหวังแค่เพียงให้เฉินเฟิงสามารถจดจำสิ่งเหล่านี้เอาไว้ และสามารถที่จะกลับมาพาเธอออกไป
เฉินเฟิงลูบผมของโจวจื่อเอ๋ออย่างเบามือ ก่อนจะพบว่าเธอนั้นหลับไปแล้ว เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นจึงยิ้มออกมา และรู้ว่าคงเป็นเพราะเรื่องเมื่อสักครู่นี้ทำให้โจวจื่อเอ๋อเหนื่อยล้าอย่างมาก
ในวันถัดมา เฉินเฟิงก็เดินทางกลับมายังวิลล่าในหุบเขา
ในตอนที่กลับมาถึง เสี่ยวเย่ก็กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าประตู
เมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง และเมื่อได้เห็นเฉินเฟิงเดินลงมาจากรถ เธอก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นเลยทีเดียว
แต่กลับไม่ได้มีแค่เฉินเฟิงคนเดียวเท่านั้น ตอนแรกเธอกะจะร้องตะโกนเรียกชื่อของเฉินเฟิงออกไป แต่กลับต้องกลืนลงคอไป
ทางด้านเฉินเฟิงที่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเสี่ยวเย่ ก็ส่งยิ้มไปให้กับเธอ
และคนที่มาพร้อมกับเฉินเฟิงนั้นก็คือไป๋จิ้งเฟิง
เพราะหลังจากที่เฉินเฟิงได้แจ้งข่าวเรื่องของตัวเขาและตระกูลไป๋ เขาจึงรีบเรียกร้องที่จะมาเจอกับเฉินเฟิง ทางด้านเฉินเฟิงไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงเลยก็คือ ไป๋จิ้งเฟิงกลับเป็นคนที่ได้รับเขาเองเสียอย่างนั้น
เมื่อออกมาจากตระกูลโจว ก็เดินทางกลับมายังวิลล่าในหุบเขาที่เฉินเฟิงพักอาศัย
เฉินเฟิงหันไปบอกกับเสี่ยวเย่: “ไปเตรียมชามาหน่อย”
เสี่ยวเย่ถึงจะไม่สามารถทำตัวตามสบายเหมือนตอนที่ได้อยู่เฉินเฟิงสองต่อสอง แต่เมื่อได้เห็นเฉินเฟิงกลับมา เธอก็รู้สึกดีใจอย่างมาก จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อรินชาอย่างมีความสุข
เมื่อประคองไป๋จิ้งเฟิงเดินมาถึงเก้าอี้ใต้ต้นไม้ เฉินเฟิงจึงนั่งลงยังที่นั่งตรงข้ามกับเขา
“คุณชายเฉิน เรื่องที่คุณพูดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรอ ?”
นับตั้งแต่ที่ได้ยินว่าเฉินเฟิงถูกโจวฟ่างนำตัวไปกักขัง ไป๋จิ้งเฟิงก็ไม่เชื่อ และยิ่งไม่อยากที่จะเชื่อด้วย
ถ้าเกิดว่ามีเรื่องแบบนี้ขึ้นในตระกูลไป๋ล่ะก็ อย่างนั้นแผนการที่พวกเขาจะรวมตัวตระกูลต่างๆ ในทะเลทรายแห่งนี้ที่เป็นศัตรูของหมาป่าทะเลทรายก็ต้องเกิดข้อสงสัยที่ยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว
เฉินเฟิงตอบกลับด้วยเสียงที่จริงจังอย่างมาก: “ตัวผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันครับ ตอนนี้หมาป่าทะเลทรายได้แทรกซึมเข้าไปทั่วทั้งทะเลทรายขนาดนี้แล้ว แม้แต่ตระกูลโจวที่เป็นตระกูลที่มีความแค้นฝังลึกขนาดนั้นยังไม่มีความใสสะอาดแล้ว อย่างนั้นสถานที่อื่นยังมีคนเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่อีกมากเท่าไหร่ ล้วนเป็นเรื่องที่พวกเราไม่สามารถคาดเดาได้เลยจริงๆ ”
สีหน้าของไป๋จิ้งเฟิงเคร่งขรึมขึ้นมาไม่ต่างกัน เพราะการโจมตีครั้งนี้ถือว่ารุนแรงสำหรับเขาเอามากๆ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เฉินเฟิงยังคงต้องพูดต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้: “คุณท่านไป๋ เดิมทีผมไม่อยากจะพูดหรอกนะครับ แต่หากตระกูลไป๋ต้องการจะแก้แค้นจริงๆ อย่างนั้นส่วนตัวตระกูลไป๋จะยังคงมีความใสสะอาดอยู่หรือไม่นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก”
ตอนนี้เฉินเฟิงกำลังสงสัยว่าตระกูลไป๋อาจจะมีสายลับของหมาป่าทะเลทรายเช่นเดียวกัน บางทีพวกเขาก็ปรากฏตัวอยู่ในขั้นตอนการวางแผนนั้นของตระกูลไป๋ด้วย
“นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอน คนตระกูลไป๋ของเรา ……”
ไป๋จิ้งเฟิงเกิดความตื่นเต้นเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอน แต่คำปฏิเสธของเขากลับพูดได้เพียงครึ่งเดียว เสียงของเขาก็หายไป ราวกับว่ามีคู่กรณีที่น่าสงสัยแล้ว
เขาหดหู่มองไปยังเฉินเฟิง : “คุณชายเฉิน นี่พวกเราจะไม่มีโอกาสได้จัดการกับหมาป่าทะเลทรายแล้วงั้นหรอ ?”
เฉินเฟิงนิ่งเงียบ สิ่งที่เขารู้นั้นมีมากว่าสิ่งที่ไป๋จิ้งเฟิงรู้ แต่เขานั้นก็รู้สึกถึงความสิ้นหวังไม่ต่างกัน
แต่ถึงอย่างไร เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ควรที่จะบอกความคิดของโจวจื่อเอ๋อให้กับไป๋จิ้งเฟิง
“ถ้าหากว่าการจะรวบรวมตระกูลเหล่านั้นให้มาต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายดูจะเป็นไม่ได้ อย่างนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีแบบอื่นเท่านั้น”
ไป๋จิ้งเฟิงเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฟิง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเฉินเฟิงอาจจะยังมีหนทางอื่นอยู่ ซึ่งนี่ถือเป็นการฉุดดึงเขาออกมาจากความสิ้นหวังอีกครั้ง
“คุณชายเฉิน โปรดพูดมาเถอะ ขอเพียงแค่ยังพอมีหวัง พวกเราก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะทำตามที่คุณชายเฉินสั่งการ โดยไม่เกี่ยงเลย”
เฉินเฟิงเองก็รู้ดีถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของไป๋จิ้งเฟิง จึงได้พูดต่อ : “การจะทำลายศัตรูนั้นขึ้นอยู่กับตระกูลเชียน”
ไป๋จิ้งเฟิงถึงกับพึมพำกับตัวเอง: “ตระกูลเชียน แต่ว่าตระกูลเชียน……”
เฉินเฟิงพูดอีกครั้ง: “ผมรู้ลักษณะนิสัยของตระกูลเชียนดี พวกเขาจะไม่มีทางยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของตระกูลอื่นในทะเลทราย และขอเพียงไม่มีใครเข้าไปท้าทายพวกเขา พวกเขาก็จะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่อย่างนี้ แต่ว่าเรื่องบางอย่างจะสำเร็จได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับคน ซึ่งหากดูจากตอนนี้ ก็ต้องเป็นตระกูลเชียนเท่านั้น”
ไป๋จิ้งเฟิงครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ แต่ยังคงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
“ก่อกวนความสัมพันธ์ของตระกูลเชียนและหมาป่าทะเลทราย” เมื่อเห็นสีหน้าอันสับสนของไป๋จิ้งเฟิง เฉินเฟิงจึงเสนอประเด็นออกมา
ไป๋จิ้งเฟิงถึงกับต้องมองไปยังเฉินเฟิงด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ถ้าเกิดว่าถูกตระกูลเชียนจับได้……”
เฉินเฟิงเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่าเพราะเหตุอะไรไป๋จิ้งเฟิงถึงต้องกังวลขนาดนี้ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น
“ขอเพียงแค่พวกเขาจับไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแล้วนี่ครับ ในเมื่ออยากจะลงมือทำ อย่างนั้นก็ต้องยึดทัศนคตินี้เอาไว้ว่า อย่าให้มีโอกาสที่จะล้มเหลว จะต้องสำเร็จเท่านั้น” เฉินเฟิงกล่าว
แต่ถึงอย่างนั้นไป๋จิ้งเฟิงก็ไม่อาจที่จะสงบใจลงได้ ทั้งยังต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ว่าเฉินเฟิงกลับขัดเขาเอาไว้ : “นี่เป็นวิธีเดียวที่สามารถทำได้ หากว่าคุณยังต้องการที่จะจัดการกับหมาป่าทะเลทราย”
ไป๋จิ้งเฟิงที่ได้ฟังก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่เฉินเฟิงพูดนั้นถูกต้อง
เมื่อมองดูไป๋จิ้งเฟิงในตอนนี้ยอมรับอย่างเงียบๆ เฉินเฟิงจึงยิ้มออกมา : “คุณเอาแต่กังวล แต่ถ้าหากว่าสำเร็จขึ้นมาจริงๆ คุณไม่คิดเลยหรอครับว่าเมื่อดูจากอำนาจของตระกูลเชียนแล้ว พวกเขาจะจัดการกับหมาป่าทะเลทรายอย่างไร แน่นอนว่าต้องกำจัดให้สิ้นซากอยู่แล้ว”
ราวกับว่าไป๋จิ้งเฟิงกำลังคิดถึงความเป็นไปได้นี้ตามแนวทางของเฉินเฟิง ซึ่งหากตระกูลเชียนยอมออกมือจริงๆ อย่างนั้นดูเหมือนว่าทุกความยากลำบากก็จะได้รับการแก้ไขทันที